เช่นเดียวกันกับวิถีชีวิตของคนผู้คนที่อาศัยอยู่ในจังหวัดระนอง บริเวณอ่าวระนอง และกระจายตัวตั้งถิ่นฐานอยู่บนเกาะเล็กๆ 3 เกาะ คือ เกาะเหลา เกาะช้าง และเกาะพยาม ผู้คนดังกล่าวคือกลุ่มชาติพันธุ์มอแกน ผู้ซึ่งมีวิถีชีวิตผูกพันอยู่กับท้องทะเลมาอย่างยาวนานตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ แต่เดิมชาวมอแกนไม่ได้มีที่อยู่แบบปักหลักอาศัยเหมือนดังในปัจจุบัน นับตั้งแต่ พ.ศ. 2555 หลังเหตุการณ์สึนามิ พวกเขามีบ้านเรือนที่ทำมาจากไม้ในลักษณะยกสูง ทำให้ชาวมอแกนในปัจจุบันมีวิถีชีวิตแบบปักหลักมากขึ้น เราจึงพบเห็นหมู่บ้านเล็กๆ ของพวกเขาตั้งอยู่บนเกาะทั้ง 3 เกาะดังกล่าว เป็นบ้านที่ล้อมรอบไปด้วย ‘ออแกน’

ออแกน
ในภาษามอแกน ‘ออแกน’ มีความหมายว่าทะเล สำหรับชาวมอแกนแล้วทะเล คือ ชีวิต ถ้าไม่มีทะเลพวกเขาจะอยู่อย่างลำบากและอาจอยู่ไม่ได้เลย เด็กหนุ่มชาวมอแกนคนหนึ่ง กล่าวว่า
“ทะเลคือทุกอย่างสำหรับพวกเขา”
ตั้งแต่เกิดมาพวกเขาก็อยู่กับทะเลมาโดยตลอด การอาศัยอยู่บนบ้านที่ปักหลักบนเกาะนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตของชาวมอแกนที่เพิ่งมีเมื่อไม่นานหลังเหตุการณ์สึนามิ แต่วิถีชีวิตดั้งเดิมของพวกเขาส่วนใหญ่แล้วนั้นอาศัยอยู่ในทะเลเป็นหลัก ซึ่งทุกวันนี้วิถีชีวิตแบบนี้ก็ยังคงมีอยู่ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ไม่มีมรสุม การใช้ชีวิตอาศัยอยู่ในทะเลของชาวมอแกนจึงถือเป็นวิถีชีวิตประจำวันของพวกเขา

อุยกะโจ้ย
‘ชีวิต’ หรือที่ชาวมอแกนเรียกว่า ‘อุยกะโจ้ย’ นั้นมีความผูกพันอยู่กับท้องทะเล ทำให้พวกเขามีความเชี่ยวชาญอย่างมากในการว่ายน้ำและดำน้ำ โดยเด็กๆ ชาวมอแกนส่วนใหญ่เริ่มว่ายน้ำเป็นกันตั้งแต่อายุ 4-5 ขวบ ด้วยวิธีการเรียนรู้ด้วยตัวเองผ่านความคุ้นเคยกับน้ำทะเล ทำให้ชาวมอแกนมีความสามารถอย่างมากในการว่ายน้ำ ละดำน้ำลึก ผู้ใหญ่ชาวมอแกนบางคนสามารถดำน้ำลึกได้โดยที่ไม่ต้องใช้อุปกรณ์หรือตัวช่วยใดๆในความลึกถึง 30 เมตร ในขณะที่วัยรุ่นมอแกนส่วนใหญ่ดำได้ลึกอยู่ที่ 5-6 เมตร โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์ใดๆ หากใช้หน้ากากออกซิเจนช่วยก็จะทำให้พวกเขาดำได้ลึกถึง 30 เมตร และดำอยู่ใต้ท้องทะเลได้นานถึง 2-3 ชั่วโมง ในขณะที่เด็กๆ มอแกนก็สามารถดำน้ำได้เช่นกัน แต่อาจจะไม่ดำได้ลึกมากเท่ากับผู้ใหญ่และวัยรุ่น
ความสามารถ ความเชี่ยวชาญ และความผูกพันกับท้องทะเล ทำให้ชาวมอแกนมีวิถีชีวิตแบบพึ่งพาทะเลมาตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน ในปัจจุบันชาวมอแกนยังคงมีวิถีชีวิตอาศัยอยู่ในทะเลด้วยการอยู่ในเรือตั้งแต่ตื่น กิน หาเลี้ยงชีพ และนอน ‘ออแกน’ หรือ ทะเล จึงยังคงเป็นหนึ่งเดียวกันกับชีวิตของชาวมอแกน
ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบันการยังชีพด้วยการหาสัตว์ทะเลนั้นเป็นภูมิปัญญาหนึ่งของชาวมอแกนที่ถูกส่งต่อมารุ่นสู่รุ่น ชีวิตของพวกเขาในจังหวัดระนองจากทั้ง 3 เกาะ คือ เกาะเหลา เกาะช้าง และเกาะพยาม ประมงจึงเป็นอาชีพหลักที่เลี้ยงชีพพวกเขา ด้วยการใช้เรือที่มีอยู่ออกไปหากุ้ง หอย ปู ปลา ชนิดต่างๆ และนำไปขายให้กับคนที่รับซื้อ
ความมหัศจรรย์ของท้องทะเลระนอง
เมื่อให้ชาวมอแกนจากทั้ง 3 เกาะกล่าวถึงตำแหน่งแห่งที่ที่สำคัญต่อการหล่อเลี้ยงอาชีพและชีวิตของพวกเขา ทุกคนต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าต้องเป็นที่ ‘บางกล้วย’ หรือ ‘ท่ากลาง’ หรือ ‘ดอนตาแพ้ว’ ทั้ง 3 ชื่อนี้เป็นที่เดียวกัน แต่จะเรียกต่างกันออกไปตามแต่ละท้องที่ ในชาวมอแกนจะเรียกหรือรู้จักที่นี่กันในชื่อบางกล้วย โดยชาวมอแกนเล่าว่า การไปหาสัตว์ทะเลที่นี่จะไม่กลับมามือเปล่าอย่างแน่นอน เพราะจุดดังกล่าวมีความอุดมสมบูรณ์เป็นอย่างมาก หากันมาชั่วอายุคนแล้วความอุสมบูรณ์ตรงนี้ก็ยังคงมีอยู่ ไม่เพียงแค่กลุ่มของชาวมอแกนที่นับว่าตรงนี้เป็นแหล่งทำกินสำคัญของพวกเขา แต่ประมงกลุ่มอื่นจากเกาะรอบๆ ในบริเวณนั้นต่างก็ใช้ความสมบูรณ์จากจุดนั้นในการหล่อเลี้ยงชีวิตมาชั่วอายุคนแล้วเช่นกัน
6,975 ไร่: ความมหัศจรรย์ที่กำลังจะหายไปตลอดกาล
โครงการท่าเรือน้ำลึกอ่าวอ่าง เป็นหนึ่งในโครงการแลนด์บริดจ์ (Land Bridge) ที่รัฐบาลกำลังเดินหน้าผลักดันและรออนุมัติเข้าสู่สภา หากโครงการท่าเรือน้ำลึกอ่าวอ่างนี้เกิดขึ้น จะมีต้องการถมทะเลจำนวน 6,975 ไร่ เพื่อสร้างท่าเรือไว้รองรับการขนส่งสินค้า ขณะเดียวกันพื้นที่ที่จะถมทะเลดังกล่าวกลับกลายเป็นจุดเดียวกันกับพื้นที่หล่อเลี้ยงชีวิตของชาวมอแกนและประมงในเกาะบริเวณใกล้เคียง แม้ว่าโครงการนี้กำลังรออนุมัติเข้าสภา แต่เมื่อเข้าไปพื้นที่กลับพบว่า ชาวมอแกนและชาวประมงกลุ่มอื่น ๆ ไม่ได้ทราบถึงรายละเอียดตรงนี้มากพอว่า ท่าเรือที่กำลังจะสร้างนั้นเป็นจุดเดียวกันกับแหล่งทำมาหากินที่อุดมสมบูรณ์ของพวกเขา แน่นอนว่าหากมีการถมทะเลจำนวน 6,975 ไร่ เกิดขึ้นพื้นที่ดังกล่าวจะหายไปตลอดกาล เมื่อทราบถึงข้อมูลตรงนี้ชาวมอแกนหลายคนถึงกับพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า
“หากที่ตรงนั้นหายไป เราก็จะตายกัน”
“เราจะลำบากกันหมด”
“เราจะไม่มีที่ทำมาหากิน”
เสียงสะท้อนของชาวมอแกนจากเกาะเหลา เกาะช้าง เกาะพยาม จังหวัดระนอง
ความผูกพัน ความเชื่อมโยง การพึ่งพาอาศัยท้องทะเลของชาวมอแกน เป็นหนึ่งในเรื่องราวที่สะท้อนให้เห็นถึงความมหัศจรรย์ของท้องทะเลที่เป็นทั้งบ้าน แหล่งทำมาหากิน และเป็นส่วนหนึ่งในการดำรงชีวิตของมนุษย์ หากท้องทะเลสูญเสียความหลากหลาย สูญเสียความอุดมสมบูรณ์ไปตลอดกาลอย่างที่กำลังจะเกิดจากในพื้นที่จังหวัดระนอง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเราจะสูญเสียแค่ท้องทะเล หากยังสะท้อนให้เห็นว่ามนุษย์อยู่ร่วมกับท้องทะเลมาอย่างยาวนาน ถ้าพื้นที่ทางทะเลที่เป็นทั้งบ้าน ภูมิปัญญา แหล่งทำมาหากิน ได้ถูกทำลายไป นั่นก็เท่ากับว่าวิถีชีวิตของมนุษย์ที่เชื่อมโยงและผูกพันกับท้องทะเลเองก็กำลังถูกสั่นคลอนไปเช่นกัน
อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการแลด์บริดจ์และผลกระทบ https://enlawfoundation.org/wp-content/uploads/2025/02/LandBridge-Effect-Ebook.pdf
อ้างอิงข้อมูลจาก
Oceanic.global (2025). “UN World Oceans Day ” สืบค้น 4 มิถุนายน 2025 จาก https://oceanic.global/project/united-nations-world-oceans-day-2025/