22 พฤษภาคม วันสากลแห่งความหลากหลายทางชีวภาพ
ระบบนิเวศของโลกถูกประกอบสร้างมาจากความจำเพาะและแตกต่างของสภาพแวดล้อมในทุกพื้นที่ทั่วมุมโลก ความแตกต่างดังกล่าวรังสรรค์ให้เกิดความหลากหลายทางชนิดพันธุ์และพันธุกรรมของสิ่งชีวิตและธรรมชาติ ตลอดจนมีความสำคัญและสัมพันธ์กันกับวิธีการดำเนินชีวิตของมนุษย์ ความเชื่อมโยงที่ก่อร่างมาจากความหลากหลายของสิ่งต่างๆในลักษณะนี้เราเรียกมันว่า “ความหลากหลายทางชีวภาพ”
จากการเล็งเห็นถึงความสำคัญของความหลากหลายทางชีวภาพของคณะกรรมการชุดที่สองของสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติทำให้มีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ (Convention on Biological Diversity: CBD) เกิดขึ้นและมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม ค.ศ.1992 ต่อมาในวันที่ 29 ธันวาคม ค.ศ. 2000 องค์กรสหประชาชาติได้ประกาศให้วันที่ 22 พฤษภาคม ของทุกปี เป็น”วันสากลแห่งความหลากหลายทางชีวภาพ (International Day for Biological Diversity: IDB)” เพื่อรำลึกถึงและตระหนักถึงอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพดังกล่าว โดยประเทศที่เป็นภาคีต่ออนุสัญญานี้จะต้องให้ความร่วมมือในการดำเนินการ เช่น ออกนโยบาย แผนปฏิบัติการด้านความหลากหลายทางชีวภาพระดับชาติ มาตรการ เพื่อให้บรรลุเป้าตามแนวทางของอนุสัญญาในการอนุรักษ์และคุ้มครองความหลากหลายทางชีวภาพ และในแต่ละปีจะมีการกำหนดประเด็นเพื่อรณรงค์แตกต่างกันไป โดยในปี 2025 นี้ขับเคลื่อนภายใต้ประเด็น“ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับธรรมชาติและการพัฒนาอย่างยั่งยืน” (Harmony with nature and sustainable development)
สำหรับประเทศไทยเรานั้นได้ลงนามเข้าร่วมเป็นภาคีในอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2004 ถือได้ว่าเป็นสมาชิกลำดับที่ 188 โดยมีสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) เป็นหน่วยงานในการดำเนินการให้ประเทศไทยบรรลุเป้าตามอนุสัญญา ขณะเดียวกันในปี 2025 นี้ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมก็ได้มีการจัดทำแผนปฏิบัติการด้านความหลากหลายทางชีวภาพระดับชาติ พ.ศ. 2566-2570 เป็นแผนหลักในการดำเนินการให้สอดคล้องกับอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพที่ได้ลงนามไว้
ในขณะเดียวกันแม้ว่าไทยจะลงนามไว้ในอนุสัญญาดังลก่าว แต่ถึงอย่างนั้นรัฐบาลของไทยเองกลับมีความพยายามผลักดันกฎหมายที่มีสุ่มเสี่ยงต่อการลดความหลากหลายทางชีวภาพ จากความพยายามของรัฐบาลที่มีความต้องการเร่งรัดการพัฒนาที่มุ่งเน้นการลงทุนด้านเศรษฐกิจ “ระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้” (Southern Economic Corridor: SEC) ที่คาดการณ์ว่าจะถูกประกาศใช้ภายในปี พ.ศ. 2568 ในพื้นที่เป้าหมาย 4 จังหวัด คือ นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี ชุมพร และระนอง และสามารถประกาศเพิ่มจังหวัดอื่นๆ ในพื้นที่ภาคใต้ได้ภายหลัง นอกจากนี้ร่างกฎหมายดังกล่าวยังกำหนดให้มี “คณะกรรมการ” ที่มีอำนาจตามกฎหมายสูงสุด โดยมีอำนาจพิเศษหลายประการ เช่น มีอำนาจเปลี่ยนผังเมือง สามารถยกเลิกกฎหมายเดิมที่อาจขัดขวางหรือเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินงานในเขตเศรษฐกิจได้ เปิดโอกาสให้กลุ่มทุนต่างชาติสามารถเข้ามาลงทุน เป็นต้น กล่าวได้ว่ากฎหมายนี้มุ่งเน้นให้เศรษฐกิจเติบโตเป็นหลัก เน้นวัดความสำเร็จจากการเติบโตของตัวเลขตาม GDP
ขณะเดียวกัน ร่างกฎหมายฉบับนี้ยังเป็นกฎหมายที่เปิดทางให้กับโครงการแลนด์บริดจ์ (Land Bridge) ที่ประกอบด้วย โครงการท่าเรือน้ำลึกเชื่อมทะเลอันดามันและอ่าวไทย ในพื้นที่จังหวัดชุมพร และระนอง โครงการมอเตอร์เวย์ และทางรถไฟ ซึ่งยังเป็นโครงการที่ถูกตั้งคำถามถึงความคุ้มค่าต่อการลงทุน การมีส่วนร่วมของประชาชน การประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่เป็นไปอย่างครอบคลุม รวมถึงเป็นการพัฒนาที่ไม่อาจตอบโจทย์การพัฒนาชีวิตของผู้คนในพื้นที่ที่พวกเขาไม่ได้เป็นผู้กำหนด
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยได้มีประกาศใช้กฎหมายในลักษณะนี้มาแล้ว ตามพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2561 ในพื้นที่ภาคตะวันออก ได้แก่ จังหวัดระยอง ชลบุรี ฉะเชิงเทรา ให้เป็นพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) จากการประกาศใช้กฎหมายพิเศษในพื้นที่ 3 จังหวัดนี้ ทำให้เกิดการทำลายความหลากหลายทางชีวภาพเป็นอย่างมาก นำไปสู่ระบบนิเวศที่เสียหายยากที่จะฟื้นฟูให้กลับมาเป็นดังเดิม ดังที่เกิดขึ้นใน “พื้นที่ชุ่มน้ำปากแม่น้ำบางปะกง” อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งที่นี่มีลักษณะเป็นนิเวศสามน้ำ
เมื่อน้ำจืด น้ำเค็ม น้ำกร่อย มาบรรจบกัน กลายเป็นนิเวศสามน้ำ ในบริเวณนี้จึงมีลักษณะเฉพาะในด้านตะกอนดินและธาตุอาหาร ระบบน้ำขึ้นน้ำลง รวมทั้งน้ำทั้ง 3 ประเภทที่ไหลมารวมกัน ซึ่งทำให้บริเวณพื้นที่ดังกล่าวมีหลากหลายทางชีวภาพ ส่งผลให้ระบบนิเวศในบริเวณนี้มีความอุดมสมบูรณ์สูง เป็นทั้งแหล่งวางไข่ แหล่งอนุบาลทั้งของสัตว์น้ำจืดและน้ำทะเล มีพันธุ์พืชหลากหลายชนิด ตลอดจนเป็นแหล่งทำมาหากิน แหล่งประกอบอาชีพสร้างรายได้ให้กับคนในพื้นที่ คนในพื้นที่ส่วนใหญ่จึงมีอาชีพเป็นเกษตรกรและประมง
แต่ภายหลังการประกาศใช้กฎหมายดังกล่าว ทำให้เกิดการยกเลิกผังเมืองเดิม คือ ผังเมืองเพื่อประโยชน์ใช้สอยทางการเกษตร เปลี่ยนไปเป็นผังเมืองเพื่อประโยชน์ทางอุตสาหกรรมตามกฎหมายพิเศษซึ่งถูกกำหนดขึ้นมาภายหลัง และเกิดการขยายตัวของพื้นที่อุตสาหกรรมในเขตเศรษฐกิจพิเศษ ปัญหาการลักลอบทิ้งขยะ โรงงานระเบิด ที่ก่อให้เกิด ปัญหามลพิษรั่วไหลและปนเปื้อนสู่สิ่งแวดล้อม จึงทำให้สภาพจากพื้นที่บริเวณปากแม่น้ำบางปะกงถูกแปรสภาพจากเดิมทีเป็นการใช้ประโยชน์ที่ดิน “เพื่อการทำเกษตร” กลับกลายเป็น “พื้นที่เพื่อการทำอุตสาหกรรม” ที่ไม่เพียงแค่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม หากรวมถึงระบบนิเวศที่มีความหลากหลายลดลง วิถีชีวิตแหล่งทำมาหากินของผู้คนในพื้นที่เองก็ค่อยๆสั่นคลอน และหายไปตามสภาพพื้นที่ที่เปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม พื้นที่ปากแม่น้ำบางปะกงเป็นแค่ส่วนหนึ่งของการสูญเสียความหลากหลายทางระบบนิเวศที่มีความจำเพาะ แต่ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกยังมีทรัพยากรธรรมชาติและระบบนิเวศอื่นที่ถูกทำลายอยู่จนถึงปัจจุบัน รวมไปถึงชีวิตของผู้คนเองก็ได้รับความเดือดร้อนจากการที่ระบบนิเวศเหล่านี้ถูกทำลายด้วยเช่นกัน ทั้งปัจจุบันมีความพยายามในการขยายพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกไปสู่จังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพพื้นที่เป็นผังเมืองสีเขียว ทำให้การใช้ประโยชน์ที่ดินเหมาะแก่การทำเกษตร มีทรัพยากรธรรมชาติอย่าง ดิน น้ำ อากาศที่อุดมสมบูรณ์ เกษตรกรในพื้นที่สร้างรายได้จากการเกษตรอินทีย์ได้เป็นอย่างดี จากบทสัมภาษณ์ของคุณสมทร คมคาย รองประธานกลุ่มสหกรณ์เกษตรอินทรีย์จังหวัดปราจีนบุรี ในบทสัมภาษณ์ในเว็บไซต์เทคโนโลยีชาวบ้าน (Technoloyeechaoban) สะท้อนให้เห็นว่า “มูลค่าของการเกษตรที่นี่สามารถสร้างรายได้ให้กับคนในพื้นที่ได้สูงถึงปีละครึ่งล้าน ซึ่งในพื้นที่มีความโดดเด่นจากการทำเกษตรแบบผสมผสาน การปลูกพืชตามฤดูกาลที่พึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติ” การที่พื้นที่ของจังหวัดปราจีนบุรีมีลักษณะโดดเด่นทางการเกษตรดังที่กล่าวมา
ด้าน เครือข่ายปราจีนเข้มแข็งและภาคีเครือข่าย ได้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของผังเมืองสีเขียวเพื่อการเกษตรที่กำลังจะถูกแปรเปลี่ยนไปเป็นผังเมืองสีม่วงเพื่อการทำอุตสาหกรรม ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นและได้ยื่นคัดค้านต่อผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี เพื่อยืนยันและให้ทบทวนว่าจังหวัดปราจีนบุรีไม่ควรเป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่ตกอยู่ภายใต้การใช้กฎหมายพิเศษตามแนวทางเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ด้วยเหตุผลสำคัญในการคัดค้านข้อที่ 3 ว่า
“การบริหารงานในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกภายใต้กฎหมาย EEC ตั้งแต่ปี 2561 ถึงปัจจุบัน ถือเป็นความล้มเหลว โดยเฉพาะประเด็นการควบคุมและจัดการมลพิษ ขยะพิษ และกากอุตสาหกรรมอันตราย ที่ไม่สามารถกำกับควบคุมการจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนกลายเป็นปัญหาเพิ่มหนักขึ้นดังปรากฎเป็นข่าวแทบรายวัน”
(GreenNews)
หากปล่อยให้กฎหมายที่มีลักษณะที่อาจสร้างความเสี่ยงต่อการทำลายความหลากหลายทางชีวภาพ ที่ส่งผลให้ระบบนิเวศเสียหายรวมถึงวิถีชีวิตของผู้คนได้รับผลกระทบเช่นนี้ ยังคงถูกผลักดันให้เป็นเป้าหมายสำคัญภายใต้วาระการพัฒนาเศรษกิจของประเทศ อย่างที่รัฐบาลกำลังผลักดันให้มีกฎหมายระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ การตั้งคำถามต่อรัฐจึงมีความสำคัญอย่างมาก เพราะการสร้าง “ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับธรรมชาติและการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ให้บรรลุตามเป้าประสงค์ของอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพได้ และการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการด้านความหลากหลายทางชีวภาพระดับชาติ พ.ศ. 2566-2570 จะมีประสิทธิภาพหรือไม่เพียงใด จึงเป็นสิ่งที่รัฐบาลจำเป็นต้องทบทวนการดำเนินนโยบายที่เน้นความเติบโตทางเศรษฐกิจที่ละเลยความหลากหลายทางระบบนิเวศและความมั่นคงของชีวิตผู้คนในพื้นที่นั้น ๆ
ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการหยุดกฎหมายที่ทำลายความหลากหลายทางชีวภาพได้ที่
รายการอ้างอิง
พรพนา ก๊วยเจริญ , สรวิศ เหลาเกิ้มหุ่ง, เฉลิมชัย วัดจัง, วศิน พงษ์เก่า. (2567).นาขาวัง:สีผังเมืองและนัยทางนิเวศปากแม่น้ำบางประกง.
กลไกการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร. (2564). “ภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ” สืบค้น 20 พฤษภาคม 2568
ฐานเศรษฐกิจ. (2568). “เจาะร่างพ.ร.บ. SEC คลุม 4 จังหวัดแดนใต้ รับแลนด์บริดจ์ 1 ล้านล้าน” สืบค้น 20 พฤษภาคม 2568
ธาวิดา ศิริสัมพันธ์. (2565). “เกษตรกรปราจีนฯ ทำเกษตรอินทรีย์ ปลูกพืชพื้นบ้าน ผักตามฤดูกาล สร้างรายได้กว่าปีละครึ่งล้าน” สืบค้น 20 พฤษภาคม 2568
Convention on Biological. (2025). “International Day for Biological Diversity – 22 Mayntroduction” สืบค้น 20 พฤษภาคม 2568
GreenNews. (2025). “ภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ” สืบค้น 20 พฤษภาคม 2568
NG Thai. (2023). “22 พฤษภาคม วันสากลแห่งความหลากหลายทางชีวภาพ (International Biodiversity Day)”สืบค้น 19 พฤษภาคม 2568
Thenicebrand. (2568). “ความหลากหลายทางชีวภาพ 2025 “อยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างกลมกลืน เพื่ออนาคตที่ยั่งยืน”สืบค้น 19 พฤษภาคม 2568.