“คำถามที่ พีทีที โกลบอล เคมิคอล ต้องตอบต่อสาธารณะ: กรณีน้ำมันดิบรั่วไหลในทะเลระยอง”

 แถลงการณ์องค์กรภาคประชาสังคม (ฉบับที่ 2)

 


          จากกรณีน้ำมันดิบจากท่อส่งน้ำมันของบริษัทพีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ พีทีทีซีจี รั่วไหลลงสู่ทะเลในพื้นที่จังหวัดระยองตั้งแต่วันเสาร์ที่ 27 กรกฎาคม 2556 และในวันนี้ (5 สิงหาคม 2556) ซึ่งคณะกรรมการบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) จะมีการประชุมนัดพิเศษเพื่อซักถามฝ่ายจัดการของพีทีทีซีจีถึงกรณีดังกล่าว
          องค์กรภาคประชาสังคมที่ลงนามท้ายแถลงการณ์นี้มีความกังวลอย่างยิ่งต่อความไม่ชัดเจนของข้อมูลที่เปิดเผยต่อสาธารณะจึงขอเรียกร้องให้ พีทีทีจีซีตอบคำถามในประเด็นต่อไปนี้ด้วยข้อเท็จจริงและแสดงหลักฐานต่อสาธารณะโดยด่วนที่สุด
 
ประเด็นปริมาณน้ำมันที่รั่วไหล
1.ปริมาณที่แท้จริงของน้ำมันดิบที่รั่วไหล (แสดงหลักฐาน)
2.ปริมาณที่แท้จริงของน้ำมันดิบที่คงเหลือในเรือ (แสดงหลักฐาน)
3.เหตุใดน้ำมันดิบจึงเข้าสู่อ่าวพร้าว (อธิบายโดยละเอียด)
4.น้ำมันดิบทั้งหมดที่รั่วไหลได้ถูกกำจัดและแพร่กระจายไปยังที่ใดบ้างเป็นปริมาณเท่าใด อาทิปริมาณที่ถูกกำจัดโดยการโปรยสารเคมีปริมาณที่เก็บกู้ได้ปริมาณที่ตกค้างในสิ่งแวดล้อมเป็นต้น (แสดงหลักฐานและอธิบายโดยละเอียด)
 
ประเด็นสาเหตุและการตอบสนองต่อภาวะฉุกเฉิน
5.ที่ผ่านมาเคยมีเหตุการณ์น้ำมันรั่วไหลทั้งหมดกี่ครั้งมีการจัดการอย่างไร
6.การรั่วไหลในครั้งนี้มีสาเหตุจากอะไรเช่น เป็นอุบัติเหตุหรือเกิดจากอุปกรณ์เสื่อมคุณภาพ
7.ระบบการควบคุมการปิดวาว์ลแบบอัตโนมัติเป็นอย่างไรวาล์วถูกปิดหลังจากการรั่วไหลเป็นเวลานานเท่าใด
8.นับแต่เกิดเหตุจนถึงปัจจุบันตลอดปฏิบัติการ ทั้งในทะเลและบนฝั่งได้มีการดำเนินการแต่ละขั้นตอนอย่างไรบ้างเมื่อใด ใครเป็นผู้ควบคุม/สั่งการ
9.ที่ผ่านมาบริษัทมีแผนการจัดการอุบัติภัยหรือไม่และเคยมีการซักซ้อมหรือไม่อย่างไรเหตุใดอุปกรณ์ที่ใช้ในการจัดการอุบัติภัยของบริษัทจึงมีน้อยมาก
10.เหตุใดจึงต้องใช้บุคลากรจากหน่วยงานนอกเครือ ปตท. (เช่นกองทัพเรือ จิตอาสา) เข้าไปปฏิบัติการแทนเจ้าหน้าที่ของบริษัทเองที่มีความเชี่ยวชาญโดยตรงในการรับมือต่อเหตุ
11.บุคลากรจากภายนอกมทั้งหมดได้รับการอบรมเรื่องความปลอดภัยในการรับมือต่อเหตุและการจัดการสารอันตรายหรือไม่อย่างไรและได้รับการควบคุมดูแลความปลอดภัยในการปฏิบัติงานมากน้อยเพียงใด
12.ใครเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดในปฏิบัติการนี้ (รวมถึงการยืมตัวบุคลากรจากหน่วยงานราชการต่างๆ)
13.บริษัทต้องเปิดเผยและชี้แจงว่าได้ปฏิบัติตามมาตรการลดและขจัดมลพิษจากการรั่วไหลของน้ำมันที่ระบุไว้ในรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ของโครงการหรือไม่
 
ประเด็นขั้นตอนการระงับเหตุก่อนนำไปสู่การตัดสินใจใช้สารเคมี
14.เหตุใดจึงใช้ทุ่นขนาดสั้น (120เมตร) เพื่อบังคับทิศทางการเคลื่อนที่ของคราบน้ำมันก่อนใช้สารเคมีโปรยเท่านั้น – เหตุใดจึงไม่มีการใช้ทุ่น“ขนาดยาว” ล้อมคราบน้ำมันที่รั่วไหลเพื่อ“ดูดกลับ” (ดังตัวอย่างการซ้อมรับมือเหตุการณ์น้ำมันรั่วไหลในทะเลอลาสก้าที่สหรัฐอเมริกาซึ่งสามารถทำได้โดยไม่ต้องใช้สารเคมีมาทำลายสิ่งแวดล้อม)
15.การกำจัดคราบน้ำมันโดยการใช้สารเคมีเป็นวิธีที่ควรใช้เป็นขั้นตอนสุดท้ายเมื่อไม่มีแนวทางอื่นที่เหมาะสมกว่าเท่านั้น – บริษัทควรชี้แจงเหตุผลและที่มาของการตัดสินใจลัดขั้นตอนโดยใช้สารเคมีตั้งแต่เริ่มต้นและใช้ในปริมาณที่มากถึง 32,000 ลิตร
 
ประเด็นสารเคมีที่ใช้ในการสลายคราบน้ำมัน
16.การขออนุญาตใช้สารเคมีจำนวน 25,000 ลิตรจากกรมควบคุมมลพิษมีการคำนวณหรือประมาณการณ์อย่างไร
17.ปริมาณสารเคมีที่ได้รับอนุมัติให้ใช้ได้คือ 5,000 ลิตรแต่ระบุว่าใช้ไปทั้งหมด 32,000 ลิตร – เหตุใดจึงมีการใช้โดยไม่มีการขออนุญาต
18.สารเคมีทั้งหมดที่ใช้มีกี่ชนิดมีองค์ประกอบอะไรบ้างแต่ละชนิดมีปริมาณเท่าใดได้มาจากแหล่งใดบ้าง – (แสดงหลักฐานการได้มาทั้งใบเสร็จและใบยืม)
19.ขั้นตอนการใช้สารเคมีทั้งหมดอาทิ วันและช่วงเวลาที่โปรยสถานที่โปรย ลักษณะวิธีการโปรยเป็นอย่างไร
20.ต้องแสดงข้อมูลความเป็นพิษและความปลอดภัยของสารเคมีที่ใช้และผลกระทบทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
21.น้ำมันที่เก็บกวาดไปจากอ่าวพร้าวซึ่งแจ้งว่าถูกนำไปจัดการที่มาบตาพุดต้องมีการเปิดเผยต่อสาธารณะว่าจะนำไปกำจัดที่ไหนและอย่างไรบ้าง


การเปิดเผยข้อมูลข้อเท็จจริงในรายละเอียดดังกล่าวข้างต้นเป็นสิ่งสำคัญที่จะแสดงให้เห็นถึงความโปร่งใสเพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาร่วมกันของทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ เอกชน และภาคประชาสังคม และมีความสำคัญยิ่งต่อการหาสาเหตุการปนเปื้อนที่แท้จริง การประเมินผลกระทบและความเสียหายการฟื้นฟูการปนเปื้อนมลพิษในระยะยาวการเยียวยาความเสียหายที่ถูกต้องและเป็นธรรมรวมถึงมาตรการป้องกันการเกิดขึ้นในอนาคตด้วย
 
 
ลงชื่อ
1.มูลนิธิบูรณะนิเวศ
2.มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม (EnLAW)
3.กรีนพีซเอเชีตะวันออกเฉียงใต้ (Greenpeace Southeast Asia)
4.คณะทำงานโลกเย็นที่เป็นธรรม
5.มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค
6.สหพันธ์องค์กรผู้บริโภค
7.กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (FTAWatch)
8.คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.)
9.มูลนิธิเพื่อการพัฒนาแรงงานและอาชีพ
10.เครือข่ายแรงงานนอกระบบ
11.เครือข่ายผู้หญิงอีสาน
12.เครือข่ายพลังงานยั่งยืนจังหวัดสุรินทร์
13.มูลนิธิพัฒนาอีสาน
14.เครือข่ายผู้บริโภคสุราษฎร์ธานี
15.สมาคมผู้บริโภคสงขลา
16.เครือข่ายองค์กรผู้บริโภคภาคใต้
17.ศูนย์สร้างจิตสำนีกนิเวศวิทยา (สจน.)
18.สหพันธุองค์กรผู้บริโภคและเครือข่ายผู้บริโภคภาคตะวันตก
19.สมาคมรักษ์ทะเลไทย
20.ศูนย์กฎหมายสิทธิมนุษยชนเพื่อสังคม
21.มูลนิธิเพื่อการบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ (ประเทศไทย)
22.คณะกรรมการบริหารสมัชชาองค์กรเอกชนด้านการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ (สคส.)
23.มูลนิธิอันดามัน
24.เครือข่ายวางแผนและผังเมืองเพื่อสังคม (CivilSociety Planning Network)
25.สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน
 
ดาวน์โหลดแถลงการณ์ได้ที่นี่

ข่าวสารที่เกี่ยวข้อง