สรุปสถานการณ์สิ่งแวดล้อม สิทธิ และกฎหมายที่น่าสนใจในปี 2564

มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม (EnLAW) ชวนย้อนมองสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องและมีความสำคัญที่ผ่านมาตลอดทั้งปี จาก “สรุปสถานการณ์สิ่งแวดล้อม สิทธิ และกฎหมายที่น่าสนใจในปี 2564” ได้แก่

1.อุบัติภัยกรณีโรงงานหมิงตี้ อีกหนึ่งบทเรียนที่สะท้อนว่า “ประเทศไทยต้องมีกฎหมาย PRTR”

2.การกลับมาของเหมืองทองอัครา เมื่ออำนาจเผด็จการ ไม่สามารถแก้ไขผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมได้ ปัญหาเดิมไม่ทันพ้นไป ปัญหาใหม่กำลังเริ่มต้น

3.โรงงานไฟฟ้าขยะกลางชุมชน เมื่อกฎหมายเปิดช่อง ผลกระทบจึงตกอยู่ข้างบ้าน

4.ร่างกฎหมายควบคุมการรวมกลุ่มของประชาชน ความพยายามของรัฐในการปิดกั้นการรวมกลุ่ม

5.การเข้า(ไม่)ถึงข้อมูลข่าวสารสาธารณะ “ปกปิดเป็นหลัก โปร่งใสเป็นรอง”

แต่ละเรื่องล้วนมีความสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงและสะท้อนถึงนโยบายและกฎหมายที่เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมในภาพรวม และเป็นสิ่งที่ประชาชนและคนทำงานด้านสิ่งแวดล้อมอาจต้องติดตามกันต่อไปในปี 2565

ขอบคุณภาพจาก : WorkpointTODAY

1.อุบัติภัยกรณีโรงงานหมิงตี้ อีกหนึ่งบทเรียนที่สะท้อนว่า “ประเทศไทยต้องมีกฎหมาย PRTR”

เหตุการณ์ไฟไหม้โรงงานผลิตโฟม เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2564 ณ ซอยกิ่งแก้ว 21 ถนนกิ่งแก้ว ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ นอกจากจะสร้างความสูญเสียต่อชีวิต-ทรัพย์สิน และส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมครั้งใหญ่แล้ว เหตุการณ์นี้ยังสะท้อนปัญหาการจัดทำผังเมือง การตรวจสอบโรงงานอันตราย การเข้าถึงข้อมูลสารอันตราย รวมถึงปัญหาการจ่ายชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้น ซึ่งจนถึงปัจจุบันยังคงไม่ได้รับการชดใช้

กรณีการตั้งโรงงานต้องเป็นไปตามข้อกำหนดผังเมืองในขณะตั้งว่าเป็นพื้นที่ที่ให้ตั้งโรงงานได้หรือไม่ แต่กรณีโรงงาน หมิงตี้เคมิคอลนั้น โรงงานตั้งก่อนที่จะมีการจัดทำผังเมืองจังหวัดสมุทรปราการ อย่างไรก็ดี เมื่อระยะเวลาผ่านไปก็มีการจัดทำผังเมืองจังหวัดสมุทรปราการขึ้น และผังเมืองย่อมต้องมีการปรับเปลี่ยน เพื่อรองรับการขยายตัวของเมือง ซึ่งผังเมืองจังหวัดสมุทรปราการก็มีการปรับเปลี่ยนเช่นกัน โดยปัจจุบันพื้นที่ที่โรงงานหมิงตี้เคมิคอลตั้งอยู่เป็นพื้นที่สีแดง เป็นโซนพื้นที่อยู่อาศัย เมื่อมีการเปลี่ยนผังเมืองและโรงงานที่อยู่มาก่อนขัดผังเมืองที่เปลี่ยนไป มาตรา 37 พระราชบัญญัติผังเมือง พ.ศ. 2562 จึงให้อำนาจคณะกรรมการผังเมืองในการสั่งให้สิ่งก่อสร้างที่อยู่มาก่อนแต่ขัดสาระสำคัญของกฎหมายผังเมือง คือ กระทบต่อสุขลักษณะ ความปลอดภัยของประชาชน สวัสดิภาพของสังคม หรือประโยชน์สาธารณะ ต้องแก้ไข ปรับปรุงตามเงื่อนไขในเวลาที่กำหนด หรือระงับการใช้งาน ดังนั้น แม้โรงงานจะตั้งมาก่อนผังเมือง หากเป็นโรงงานที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อประชาชนก็สามารถปรับเปลี่ยน หรือย้ายออกไปได้ โดยได้รับค่าทดแทนสำหรับการเคลื่อนย้าย ตามมาตรา 37 วรรคท้าย

อย่างไรก็ดี ยังไม่เคยมีกรณีที่คณะกรรมการผังเมืองใช้อำนาจสั่งให้มีการจัดการพื้นที่ในกรณีข้างต้นมาก่อน เนื่องจากรัฐจำต้องจ่ายค่าทดแทน แต่รัฐกลับยังไม่มีกลไกที่จะรองรับการจ่ายค่าทดแทนดังกล่าว คือ ไม่มีการตั้งงบประมาณสำหรับการชดเชยกรณีต้องปรับปรุงผังเมืองไว้ ทำให้คณะกรรมการผังเมืองไม่สามารถใช้อำนาจตามกฎหมายได้ การจัดการผังเมืองของไทยจึงยังคงเป็นปัญหา แม้จะมีกฎหมายให้อำนาจในการจัดการเต็มที่ แต่หากรัฐยังไม่มีกลไกรองรับกฎหมายก็ไม่อาจทำหน้าที่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

นอกจากปัญหาการจัดทำผังเมือง ที่ทำให้มีโรงงานอันตรายตั้งใกล้ชุมชนแล้ว ยังมีปัญหาที่ประชาชนหรือรัฐเองไม่มีข้อมูลว่าโรงงานแต่ละแห่งมีอันตราย แค่ไหนเพียงไรบ้าง จากเหตุการณ์ไฟไหม้ที่ก่อให้เกิดการระเบิด แต่ไม่มีหน่วยงานใดสามารถระบุได้เลยว่าสารเคมีที่อยู่ในโรงงานเป็นสารเคมีประเภทใด ทำให้วางแผนรับมือระงับเพลิงไหม้เป็นไปอย่างล่าช้า จนส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตหนึ่งราย ทั้งยังไม่สามารถประเมินความเสียหายที่จะเกิดขึ้นได้อีกด้วย ดังจะเห็นได้จากการประกาศให้ประชาชนอพยพในช่วงแรกที่ไม่มีระยะแน่นอน และขาดเครื่องมือที่พร้อมในการช่วยเหลือ

จากปัญหาข้างต้นจึงเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่ไทยจะต้องมีกฎหมายที่ให้โรงงานซึ่งมีสารอันตรายต้องรายงานข้อมูลของสารนั้น และเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวแก่ประชาชนได้ทราบ เพื่อที่จะได้นำข้อมูลนี้ไปใช้ในยามฉุกเฉิน หรือบริหารงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ก่อให้เกิดอันตรายแก่ประชาชน รวมถึงให้ประชาชนได้รู้ถึงความเสี่ยงบริเวณพื้นที่อาศัยของตน และสามารถตัดสินใจได้อย่างครบถ้วน รอบด้านมากขึ้นด้วย

สิ่งที่จะมองข้ามไม่ได้เลยในเหตุการณ์นี้ คือ มูลค่าความเสียหายมหาศาลที่ยังไม่ได้รับการประเมิน จากการที่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ เสียชีวิต บ้านเรือนเสียหาย ต้องอพยพจากที่อยู่อาศัย รวมถึงมลพิษทางอากาศ ทั้งหมดนี้ควรอยู่ในค่าประกันภัยของโรงงาน แต่ทุนประกันสำหรับรับผิดต่อบุคคลภายนอกของโรงงานนี้กลับมีเพียงยี่สิบล้านบาท และปัจจุบันกฎหมายก็ยังไม่พบว่ามีการกำหนดหลักเกณฑ์กำกับทุนประกันของโรงงานฯ ไว้แต่อย่างใด แม้แต่ พ.ร.บ.โรงงานฯ ก็ไม่กล่าวถึง ดังนั้น กฎหมายไทยจึงควรมีการกำหนดจำนวนทุนประกันต่อบุคคลภายนอกไว้ตามควาเสี่ยงของโรงงาน ไม่ใช้แค่ความสมัครใจว่าต้องการทำเพียงไร และควรมีการทำประกันผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้วย เพราะ เมื่อเกิดเหตุขึ้น ไม่เพียงแต่ชีวิตคนที่ได้รับความเสียหายโดยตรง ความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมย่อมส่งผลต่อความเป็นอยู่ สุขภาพ และคุณภาพชีวิตโดยรวมของประชาชนทุกคนต่อไปด้วย

เหตุการณ์ไฟไหม้กิ่งแก้วเป็นบทเรียนสำคัญที่รัฐและประชาชนควรให้ความสนใจ ทั้งปัญหาการสร้างกลไกรองรับการจัดทำผังเมือง การเข้าถึงข้อมูลสารอันตราย และการกำหนดประกันความเสียหาย หากแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ ชีวิตของประชาชนไม่ใช่แค่รอบโรงงานแต่ในสังคมทั้งหมด ย่อมมีความปลอดภัย และมีคุณภาพที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน

ข้อมูลเพิ่มเติม

โรงงานกิ่งแก้วไฟไหม้ – อีกหนึ่งบทเรียนที่สะท้อนว่า “ประเทศไทยต้องมีกฏหมาย PRTR” มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม Link

‘บ้านเรือนในพื้นที่โรงงานเคมี คุยกับอาจารย์ผังเมือง เมื่อโรงงานระเบิด สะท้อนปัญหาผังเมือง’ , The Matter, 6 มิถุนายน 2564 Link

Sirarom, ‘ช่องโหว่กฎหมายไทย เหตุ ‘หมิงตี้เคมีคอล’ ซื้อประกันคนนอกแค่ 20 ล้าน’ ,Workpointtoday, 7 กรกฎาคม 2564 Link

ขอบคุณภาพจาก : มติชน

2.การกลับมาของเหมืองทองอัครา เมื่ออำนาจเผด็จการ ไม่สามารถแก้ไขผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมได้ ปัญหาเดิมไม่ทันพ้นไป ปัญหาใหม่กำลังเริ่มต้น

จากกรณีการออกคำสั่งที่ 72/2559 ของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2559 ทำให้บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ต้องระงับการประกอบกิจการเหมืองแร่ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2560 เป็นต้นมา ทั้งนี้โดยอาศัยอำนาจกฎหมายพิเศษตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557 มาตรา 44 ในการดำเนินการซึ่งกระบวนการดังกล่าวนี้เป็นการปฏิเสธกระบวนการทางกฎหมายปกติที่จะเปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้เสียได้มีส่วนร่วมในการพิสูจน์ความสุจริตของตนในการประกอบกิจการตามที่กฎหมายกำหนดไว้ อันเป็นผลทำให้บริษัทคิงส์เกต คอนโซลิเดเต็ด ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ตัดสินใจยื่นฟ้องรัฐบาลไทยเข้าสู่กระบวนการระงับข้อพิพาทตามกระบวนการอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศภายใต้ข้อตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย

การเกิดขึ้นของปัญหามลพิษจากการทำเหมืองแร่ทองคำนั้นถือเป็นปัญหาข้อพิพาทระหว่างชุมชน, กลุ่มนายทุนที่ได้รับสัมปทาน และรัฐผู้ซึ่งกุมอำนาจในการอนุญาตการทำกิจการเหมืองแร่ทองคำในพื้นที่ต่าง ๆ มาเนิ่นนาน โดยเฉพาะกรณีของเหมืองทองอัครานั้นมีเอกสารทางวิชาการออกมาแสดงข้อเท็จจริงแล้วว่าได้ส่งผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมแก่ชุมชนโดยรอบจริง ทั้งในกรณีของการตรวจพบสารโลหะหนักที่มีปริมาณมากขึ้นจากการเปิดหน้าเหมือง การตรวจพบปริมาณตะกั่ว แมงกานีส และแคดเมียมสูงขึ้นเมื่อเทียบกับตัวอย่างดินก่อนทำเหมือง และมีความเสี่ยงสูงต่อการปนเปื้อนแมงกานีสลงสู่ชั้นน้ำใต้ดิน จากกรณีดังกล่าวนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องอาศัยกระบวนการควบคุมและตรวจสอบจากรัฐ แต่ปัญหาที่ผ่านมาพบว่าการตรวจสอบดังกล่าวนั้นไม่สามารถบรรลุผลได้เนื่องจากการบังคับใช้กฎหมายอย่างไม่เป็นธรรมไม่ตรงตามเจตนารมณ์ของกฎหมายและปัญหาทุจริตต่าง ๆ ส่งผลให้การควบคุมตรวจสอบโดยกระบวนการกฎหมายปกติไม่สามารถปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนได้ อีกทั้งไม่สามารถยับยั้งผลกระทบที่ส่งผลต่อประชาชนในพื้นที่ในระยะยาวได้ ซึ่งตามกฎหมายพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 ที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น เจ้าหน้าที่รัฐสามารถที่จะให้ผู้ประกอบการระงับการประกอบกิจการที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อบุคคล สัตว์ พืช และสิ่งแวดล้อมได้อยู่แต่รัฐบาลกลับเลือกการใช้อำนาจพิเศษตามมาตรา 44 แห่งรัฐธรรมนูญชั่วคราวแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2557 เข้ามาเป็นเครื่องมือในการปิดเหมืองแร่ดังกล่าว อันถือว่าเป็นการใช้อำนาจที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นการละเมิดหลักการว่าด้วยการไม่เลือกปฏิบัติ (Non Discrimination), หลักการนิติรัฐ (Legal State) จากการละเมิดหลักการสากลดังกล่าวนี้เกิดเป็นช่องโหว่ของการใช้อำนาจและเป็นการใช้อำนาจกฎหมายอย่างปราศจากความชอบธรรม ภายหลังบริษัทคิงส์เกตได้ยื่นฟ้องรัฐไทยและเรียกค่าเสียหาย

ประเด็นที่น่าสนใจคือ ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมนั้น ฝ่ายค้านได้นำเสนอเอกสารที่รัฐบาลได้ยื่นข้อเสนอกับบริษัทคิงส์เกตเพื่อไม่ให้ตนต้องแพ้คดี แต่ข้อเสนอที่ว่ากลับเป็นการเอื้อผลประโยชน์แก่บริษัทคิงส์เกต เช่นการต่ออายุประทานบัตรของแหล่งแร่กว่า 30 ปี, มอบอาชญาบัตรเพื่อสำรวจแร่ทองคำไม่ต่ำกว่า 1 ล้านไร่ ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดนี้มิได้เป็นการดำเนินการตามกฎหมายปกติที่แต่เดิมเป็นกระบวนการพิจารณาการออกอาชญาบัตร และประทานบัตรในการประกอบกิจการเหมืองแร่

ประเด็นปัญหาของกรณีนี้เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งที่เกิดจากการใช้อำนาจเผด็จการในการจัดการปัญหาด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ต่อมาเมื่อเกิดปัญหาลุกลามบานปลาย รัฐบาลไทยก็ยังคุ้นเคยกับการแก้ปัญหาโดยใช้อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดที่ปฏิเสธกระบวนการทางกฎหมายปกติอีก กรณีที่เกิดขึ้นนี้ยิ่งตอกย้ำได้อย่างชัดเจนว่าปัญหาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องอาศัยการแก้ไขปัญหาด้วยเครื่องมือที่เป็นธรรมและมีความชอบธรรมตามหลักการประชาธิปไตยอันจะนำไปสู่การพัฒนากระบวนการทำงานของหน่วยงานรัฐที่จำเป็นจะต้องดำรงอยู่บนฐานของประโยชน์สาธารณะอันยึดโยงอยู่กับประชาชนและดำเนินการภายใต้หลักการนี้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นสถานการณ์ของเหมืองแร่คิงส์เกตอาจจะสะท้อนภาพรวมให้สังคมได้เห็นภาพชัดเจนขึ้นบ้างว่า ‘เผด็จการ ทำลายสิ่งแวดล้อมอย่างไร’ และนอกเหนือจากนี้ยังคงมีประเด็นผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่ต้องจับตาอีกหลายกรณี

ข้อมูลเพิ่มเติม

จับตา 19 พ.ย นี้ อนุญาโตตุลาการถกนัดแรก คิงส์เกต-รัฐบาลไทย ปม ม.44 สั่งปิดเหมืองทอง”, WorkpointTODAY 6 มิ.ย 2562 Link

ฝ่ายค้านขุดเอกสารลับ! แนวโน้มไทยแพ้ค่าโง่ 2หมื่นล.อัคราฯ ‘สุริยะ-บิ๊กตู่’ปัดเอื้อปย.”, สำนักข่าวอิสรา 17 ก.พ. 2564 Link

ภาคประชาชนชวนจับตาแนวทางการตัดสินอนุญาโตตุลาการ ม.44 กลายร่าง เปิดเหมืองทองคิงส์เกต ,ประชาไท Link

LIVE เวทีสาธารณะออนไลน์ “จับตา ม.44 รอบสอง เปิดเหมืองทองคิงส์ ,The Reporters Link

ภาพ EnLAW

3.โรงงานไฟฟ้าขยะกลางชุมชน เมื่อกฎหมายเปิดช่อง ผลกระทบจึงตกอยู่ข้างบ้าน

“โรงไฟฟ้าขยะ” หรือโรงงานผลิตไฟฟ้าจากพลังงานความร้อนที่ใช้ขยะมาเป็นเชื้อเพลิง แนวคิดหลัก คือ นำขยะชุมชนมาคัดแยกและแปรสภาพเป็นเชื้อเพลิงที่เรียกว่า RDF (Refuse Derived Fuel) ก่อนนำไปเผาเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า

ทั้งนี้ ดร.พิรียุตม์ วรรณพฤกษ์ นักวิชาการสิ่งแวดล้อมอิสระและที่ปรึกษาสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย ให้ความเห็นว่า จุดประสงค์ของการสร้าง ‘เตาเผาขยะ’ กับ ‘โรงไฟฟ้า’ นั้นต่างกัน เพราะจุดประสงค์หลักของเตาเผาขยะ คือ การกำจัดขยะ บำบัดมลภาวะที่เกิดขึ้น โดยคิดว่าพลังงานที่ได้ในรูปของไฟฟ้าเป็นผลพลอยได้ แต่ว่าหากเอกชนเข้ามาและบอกว่าอยากทำโรงไฟฟ้า สิ่งที่เอกชนต้องการคือจะทำอย่างไรให้มีเชื้อเพลิง (ขยะ) มากที่สุดเพื่อให้สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ตามที่เซ็นสัญญาไว้กับการไฟฟ้า

ประเด็นสำคัญอย่างยิ่งคือ โรงไฟฟ้าขยะ เป็นหนึ่งในโครงการที่อาจส่งผลกระทบต่อปัญหาด้านสุขภาพของคนในพื้นที่ ทั้งเรื่องมลพิษทางอากาศ เสียง รวมถึงระบบนิเวศ และปัญหาสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่พบคือ การตั้งโรงไฟฟ้าขยะเหล่านี้ มักจะตั้งอยู่ติดกับชุมชน หรือในบางกรณีอาจเรียกได้ว่าอยู่ใจกลางของชุมชน กลางหมู่บ้าน ใกล้กันในระดับรั้วชนรั้ว ซึ่งมีเพิ่มมากขึ้น ในปีที่ผ่านมา เช่น

โรงไฟฟ้าขยะ หรือ RDF ต.หนองไข่น้ำ อ.หนองแค จ.สระบุรี กำลังการผลิตไฟฟ้า 9.5 เมกะวัตต์ โครงการนี้สร้างในพื้นที่ ต.หนองไข่น้ำ ซึ่งตามผังเมืองแล้วกำหนดให้เป็นพื้นที่ประเภทชุมชน โดยด้านข้างโรงไฟฟ้านั้น ติดหอพักและที่ทำการผู้ใหญ่บ้าน รวมถึงบ้านเรือนและพื้นที่เกษตร ทั้งนี้จังหวัดสระบุรีมีโรงแปรรูปเชื้อเพลิงขยะ RDF กำลังการผลิตสูง 60 เมกะวัตต์ของบริษัท ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) อยู่แล้ว ซึ่งสามารถรองรับขยะได้ปริมาณมาก จึงเกิดคำถามว่า ทำไมถึงต้องสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่มอีกแห่ง และทำไมโรงไฟฟ้าถึงเลือกตั้งกลางชุมชน แทนที่จะตั้งในนิคมอุตสาหกรรมหนองแคซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลและยังมีที่ว่าง

โรงไฟฟ้านาบอน ต.ทุ่งสง อ.นาบอน จ.นครศรีธรรมราช คือโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนที่ใช้เชื้อเพลิงชีวมวล เช่น ไม้สับ ทะลายปาล์ม และเปลือกไม้ ซึ่งใช้เชื้อเพลิงขยะชุมชนที่แปรรูปเป็นเชื้อเพลิง RDF (Refuse Derived Fuel) ร่วมด้วย ประชาชนใน ต.ทุ่งสง อ.นาบอน ส่วนใหญ่มีอาชีพทำนาและสวนยาง อาศัยน้ำจากคลองที่ไหลผ่านกลางหมู่บ้าน ก่อนจะไหลรวมกันเป็นแม่น้ำตาปี รายล้อมด้วยหุบเขาทุกทิศ ด้วยเหตุที่มีภูมิศาสตร์เช่นนี้กลายเป็นเรื่องน่าหวาดหวั่นว่าจะยิ่งเก็บกักมลพิษทางอากาศและน้ำ ขังคนนาบอนให้ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางมลพิษ โดยเฉพาะเมื่อโรงไฟฟ้านี้อยู่ติดกันกับชุมชน

โครงการแปรรูปขยะมูลฝอยเป็นพลังงานไฟฟ้า ต.บางเป้า อ.กันตัง จ.ตรัง เนื้อที่ 40 ไร่ ผลิตกระแสไฟฟ้าขนาด 9.9 เมกะวัตต์ ซึ่งในเวทีรับฟังความคิดเห็นก็มีประชาชนออกมาแสดงความเห็นคัดค้าน โดยมีการประกาศขอให้ยุติการก่อสร้างโรงไฟฟ้ากำจัดขยะในพื้นที่อย่างเด็ดขาด เพราะที่ตั้งไม่เหมาะสม กังวลจะผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม

คำถามสำคัญคือ ทำไมโรงไฟฟ้าขยะ ที่มีความเสี่ยงก่อผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน จึงสามารถตั้งอยู่กลางชุมชนได้ ซึ่งคงต้องดูกฎหมายและนโยบายที่เกี่ยวข้อง ยกตัวอย่างเช่น

1.ประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2558 โดยมีการแก้ไขให้โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนที่ใช้ขยะมูลฝอยเป็นเชื้อเพลิงทุกขนาด ไม่ต้องจัดทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ทั้งที่จากเดิมโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนทุกประเภทที่มีกำลังการผลิตเกิน 10 เมกะวัตต์ เป็นโครงการที่ต้องจัดทำ EIA

2.คำสั่งคสช. 4/2559 เรื่อง การยกเว้นการใช้บังคับกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมสำหรับการประกอบกิจการบางประเภท กำหนดให้ยกเว้นกฎหมายผังเมืองไม่ให้บังคับแก่กิจการโรงงานไฟฟ้าและกิจการเกี่ยวกับขยะมูลฝอย ส่งผลให้สามารถสร้างโรงไฟฟ้าขยะได้โดยไม่ต้องสนใจว่าผังเมืองนั้นกำหนดให้เป็นพื้นที่ประเภทใด

3.กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน ประกาศแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือกโดยมีเป้าหมายการเพิ่มกำลังการผลิตของโรงไฟฟ้าตาม PDP2018 ระหว่างปี 2561-2580 โดยจะเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากขยะชุมชน 900 เมกะวัตต์, ขยะอุตสาหกรรม 75 เมกะวัตต์

จะเห็นได้ว่าการส่งเสริมจากนโยบายรัฐรูปแบบต่างๆ เหล่านี้ เปิดช่องให้โรงงานไฟฟ้าขยะเกิดขึ้นได้เป็นง่าย และรวดเร็วกว่าโครงการประเภทอื่นๆ ซึ่งผลกระทบไม่ได้มีเพียงแค่ที่ยกตัวอย่างมาเท่านั้น แต่เกิดขึ้นแพร่หลายทั่วประเทศอย่างเงียบๆ จากข้อมูลในเดือนมิถุนายน 2564 กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน เผยว่า มีโรงไฟฟ้าพลังงานขยะที่สร้างเสร็จและจ่ายไฟเข้าระบบไฟฟ้าแล้วถึง 44 โครงการ ยังไม่นับอีกหลายโครงการที่กำลังก่อสร้าง และมีแนวโน้มที่จะมากขึ้นอีกในอนาคต

ในวาระสิ้นปี 2564 ที่ผ่านมานี้ จึงจำเป็นที่จะต้องย้ำกันให้ชัดเจนว่า สิ่งที่ต้องคำนึงควบคู่ไปกับการกำจัดขยะ คือการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของคนในพื้นที่ เพื่อกำหนดพื้นที่ที่เหมาะสม ห่างไกลชุมชน และห่างไกลพื้นที่เปราะบางด้านสิ่งแวดล้อม รวมทั้งต้องจัดให้มีกระบวรการการมีส่วนร่วมของคนในพื้นที่อย่างมีความหมาย เพื่อให้โครงการเหล่านี้สร้างประโยชน์ได้จริง และไม่มีผู้ที่ต้องเสียสละภายใต้ข้ออ้างว่า ทำเพื่อส่วนรวม

ข้อมูลเพิ่มเติม

จากกลาสโกว์ถึงนาบอน คลี่ความซับซ้อนว่าด้วย “พลังงานสะอาด”, สำนักข่าวสิ่งแวดล้อม-GreenNews Link

ทำไมต้อง #Saveนาบอน ย้อนดูที่มา ปัญหา และเหตุผลในชาว อ.นาบอน ไม่เอาโรงไฟฟ้าชีวมวล , The Matter Link

RDF หนองไข่น้ำ เมื่อโครงการ “กรีน” อาจไม่กรีนจริง , สำนักข่าวสิ่งแวดล้อม-GreenNews Link

ค้านโรงไฟฟ้าขยะชุมชนหนองไข่น้ำ จ.สระบุรี , the Active Link

ชาวบางเป้า ล้มเวที อบจ.ตรัง ค้านสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานขยะในชุมชน หวั่นกระทบสุขภาพ , ข่าวสด Link

สรุปคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 4/2559 , มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม Link

นักกฎหมายลั่นพร้อมฟ้องศาล หากคำสั่ง ม.44 ‘ยกเว้นผังเมือง’ ละเมิดชุมชน-สิ่งแวดล้อม , ประชาไท Link

ฟ้องรมว.ทรัพย์ฯ-กก.สิ่งแวดล้อม ยกเลิกEIAโรงไฟฟ้าขยะมิชอบ , MGR online Link

ขอบคุณภาพจาก : ThaiPost

4.ร่างกฎหมายควบคุมการรวมกลุ่มของประชาชน ความพยายามของรัฐในการปิดกั้นการรวมกลุ่ม

“ควบคุม-ตรวจสอบ-ลงโทษ” ความพยายามของรัฐบาลในการปิดกั้นการรวมกลุ่มของภาคประชาสังคมและองค์กรไม่แสวงหากำไร โดยไม่สนใจหลักสิทธิมนุษยชน

ตลอดปี 2564 มีความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องของรัฐบาลไทยในการพยายามผลักดันออกกฎหมายมาควบคุมตรวจสอบการดำเนินกิจกรรมของภาคประชาสังคม ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการทำงานขององค์กรหรือกลุ่มเครือข่ายประชาชนด้านสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชนต่างๆ อย่างกว้างขวาง โดยความชัดเจนเริ่มปรากฏขึ้นภายหลังคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติในการประชุมเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564 เห็นชอบหลักการของร่างกฎหมายว่าด้วยการดำเนินงานขององค์กรที่ไม่แสวงหารายได้หรือกำไรมาแบ่งปันกันตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ โดยข้อมูลระบุว่าร่างกฎหมายฉบับนี้เกิดขึ้นจากข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี
(พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา) มอบให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาศึกษากฎหมายของต่างประเทศเพื่อหาหลักการมาใช้ยกร่างกฎหมายฯ

ต่อมาสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ดำเนินการยกร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการดำเนินงานขององค์กร
ที่ไม่แสวงหารายได้หรือกำไรมาแบ่งปันกัน พ.ศ. …. นำมาเปิดรับฟังความคิดเห็นในช่วงเดือนมีนาคม 2564 โดยมีสาระสำคัญของกฎหมายเป็นควบคุมตรวจสอบการดำเนินงานขององค์กรไม่แสวงหากำไรทุกประเภท
ทั้งมูลนิธิ สมาคม กลุ่มหรือเครือข่ายภาคประชาชนที่รวมตัวกันในรูปแบบต่างๆ เช่น กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยกำหนดให้มีหน้าที่ต้องจดแจ้งขึ้นทะเบียนก่อนดำเนินการ ต้องเปิดเผยแหล่งที่มาของเงินที่ใช้ทำกิจกรรม จัดทำและเปิดเผยรายงานผู้สอบบัญชี ให้อำนาจรัฐกำหนดประเภทกิจกรรมขององค์กรไม่แสวงหากำไรที่รับทุนจากต่างประเทศ และมีอำนาจเข้าตรวจสอบสำนักงานและทำสำเนาข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ได้โดยไม่ต้องมีหมายศาล พร้อมทั้งกำหนดโทษที่รุนแรงหากไม่ปฏิบัติตามกฎหมายอาจถูกเพิกถอนการจดแจ้ง และหากดำเนินกิจการโดยไม่จดแจ้งมีโทษจำคุกสูงสุดไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,00 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ร่างกฎหมายฉบับดังกล่าวถูกวิพากษ์วิจารณ์และถูกคัดค้านจากเครือข่ายภาคประชาสังคมและองค์กรสิทธิมนุษยชนทั้งไทยและต่างประเทศอย่างกว้างขวาง ว่าเป็นการละเมิดต่อสิทธิเสรีภาพในการรวมกลุ่มและการแสดงออกตามรัฐธรรมนูญ ไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรมและหลักความจำเป็น และกระทบต่อการส่งเสริมการ
มีส่วนร่วมของประชาชนในสังคมประชาธิปไตยอย่างร้ายแรง รวมถึงผู้รายงานพิเศษแห่งสหประชาชาติ (UN Special Rapporteur) 3 ด้าน ประกอบด้วย ด้านสิทธิเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและการรวมกลุ่ม ด้านการส่งเสริมและปกป้องสิทธิเสรีภาพในความคิดเห็นและการแสดงออก และด้านสถานการณ์ของนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ได้จัดทำความเห็นต่อร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวส่งถึงรัฐบาลไทยเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2564 โดยมีความเห็นร่วมกันว่า ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวไม่สอดคล้องกับกฎหมายและมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ โดยเฉพาะข้อ 19 และ 22 ของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR)

แม้จะถูกวิพากษ์วิจารณ์และคัดค้านอย่างหนัก แต่รัฐบาลยังคงเดินหน้าผลักดันกฎหมายฉบับนี้อย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2564 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับหลักการเกี่ยวกับมาตรฐานสากลด้านการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายและการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง (AML/CFT) จำนวน 8 ประเด็นตามที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เสนอไปเพิ่มเติมในหลักการของร่างกฎหมายว่าด้วยการดำเนินงานขององค์กรที่ไม่แสวงหารายได้หรือกำไรมาแบ่งปันกัน และล่าสุดในช่วงปลายเดือนธันวาคม 2564 ปรากฏข้อมูลว่าคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ดำเนินการปรับแก้ร่างกฎหมายเสร็จเรียบร้อยแล้วและเตรียมเสนอร่างพระราชบัญญัติการดำเนินกิจกรรมขององค์กรไม่แสวงหากำไร พ.ศ. …. ฉบับใหม่เข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันที่ 28 ธันวาคม 2564

อย่างไรก็ตาม แม้เงื่อนไขหรือมาตรการควบคุมตรวจสอบบางส่วนที่มีปัญหาและถูกคัดค้านจะถูกตัดออกไปแล้วในร่างกฎหมายฉบับใหม่ และมีการนำเนื้อหาตามร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม พ.ศ…. บางส่วนมาผนวกรวมไว้ แต่ในภาพรวมของร่างพระราชบัญญัติการดำเนินกิจกรรมขององค์กร
ไม่แสวงหากำไร พ.ศ. …. ยังคงเป็นกฎหมายที่มีเนื้อหาขัดต่อสิทธิเสรีภาพในการรวมกลุ่มและการแสดงออก และมุ่งควบคุมกีดกันการมีส่วนร่วมขององค์กรภาคประชาชนในการดำเนินกิจกรรมด้านสิทธิมนุษยชนและนโยบายสาธารณะ โดยเฉพาะร่างมาตรา 20 ที่กำหนดข้อห้ามในการดำเนินกิจกรรมขององค์กรไม่แสวงหากำไรไว้อย่างคลุมเครือ ว่าห้ามการดำเนินงานในลักษณะที่กระทบต่อความมั่นคงของรัฐ รวมถึงความมั่นคงของรัฐด้านเศรษฐกิจ หรือด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ กระทบต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ก่อให้เกิดความแตกแยกในสังคม หรือกระทบต่อประโยชน์สาธารณะรวมทั้งความปลอดภัยสาธารณะ ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่รัฐใช้ดุลพินิจได้อย่างกว้างขวางตามอำเภอใจ และย่อมขัดกับสภาพความเป็นจริงของการทำงานด้านสิทธิมนุษยชนและนโยบายสาธารณะด้านต่างๆ ที่ต้องเกี่ยวข้องกับผู้คนและความคิดเห็นที่แตกต่างหลากหลายอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ภายใต้หลักการประชาธิปไตย

ความพยายามอย่างเร่งรีบของรัฐบาลในการออกกฎหมายมาควบคุมตรวจสอบการทำงานขององค์กรภาคประชาสังคมโดยไม่สนใจต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการละเมิดสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญและพันธกรณีระหว่างประเทศ สะท้อนให้เห็นถึงการไม่เคารพต่อสิทธิมนุษยชนและหลักการประชาธิปไตยของรัฐบาลพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา และถือเป็นอีกหนึ่งสถานการณ์สิทธิด้านสิ่งแวดล้อมที่สำคัญของปี 2564 ที่ยังคงต้อง
จับตากันอย่างต่อเนื่องในปี 2565 เพราะหากร่างกฎหมายฉบับนี้ผ่านออกมาได้ จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการใช้สิทธิเสรีภาพของภาคประชาชนที่รวมตัวรวมกลุ่มกันในรูปแบบต่างๆ ในการมีส่วนร่วมตัดสินใจและติดตามตรวจสอบการดำเนินนโยบายหรือโครงการที่มีผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมด้วย
อย่างแน่นอน

ข้อมูลเพิ่มเติม

กฎหมายควบคุมการรวมกลุ่มของประชาชน , มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม Link

แถลงการณ์คัดค้านร่างกฎหมายว่าด้วยการดำเนินงานขององค์กรที่ไม่แสวงหารายได้หรือกำไรมาแบ่งปันกัน โดย เครือข่ายภาคประชาสังคมร่วมขับเคลื่อน ร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม , thaingo.org Link

แถลงการณ์มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม คัดค้านร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการดำเนินงานขององค์กรที่ไม่แสวงหารายได้หรือกำไรมาแบ่งปันกัน พ.ศ. …. , มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม Link

ครม.ไฟเขียว เพิ่มหลัก กม.คุมเอ็นจีโอ 8 ประเด็น บีบเปิดข้อมูลองค์กร-ธุรกรรมการเงิน , มติชน Link

เครือข่ายภาคประชาสังคมชี้ปัญหาร่าง พ.ร.บ.เอ็นจีโอ จำกัดเสรีภาพ คุกคามประชาธิปไตย , ประชาไท Link

เครือข่ายคัดค้านร่างกฎหมายควบคุมการรวมกลุ่มของประชาชนประชิดทำเนียบ ยื่นหนังสือคัดค้านร่างพรบ.การดำเนินกิจกรรมขององค์กรไม่แสวงหากำไร , ไทยแอ็ค Link

ขอบคุณภาพจาก : www.123rf.com

5.การเข้า(ไม่)ถึงข้อมูลข่าวสารสาธารณะ “ปกปิดเป็นหลัก โปร่งใสเป็นรอง”

สิทธิในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารราชการเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ได้รับการรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 41 และ มาตรา 59 ซึ่งประชาชนมีสิทธิในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของราชการจากหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อที่จะทราบถึงการดำเนินการของหน่วยงานรัฐที่อาจจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อประชาชนได้ ประกอบกับประเทศไทยมีกฎหมายเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องนี้ คือ พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารราชการ พ.ศ. 2540 ที่รับรองสิทธิได้รู้หรือได้รับทราบของประชาชน (Right to Know) ภายใต้หลักการ “เปิดเผยเป็นหลัก ปกปิดเป็นข้อยกเว้น” เพื่อการปกป้องประโยชน์ส่วนบุคคล และเพื่อปกป้องประโยชน์สาธารณะ โดยบุคคลทุกคนไม่ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่ก็ตามมีสิทธิที่จะตรวจดูข้อมูลข่าวสารของราชการ และสามารถขอสำเนาข้อมูลข่าวสารนั้นได้

สิทธิในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร เป็นส่วนประกอบพื้นฐานในการปกครองระบอบประชาธิปไตย เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของพลเมือง ทำให้เราสามารถที่จะมีส่วนร่วมได้อย่างมีความหมาย จึงเปรียบเสมือนประตูด่านแรกในการเข้าถึงสิทธิในด้านอื่นๆ ซึ่งไม่ใช่แค่เพียงสิทธิทางการเมืองเท่านั้น แต่ยังรวมถึงถึงสิทธิด้านอื่นๆ ด้วย คือสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมด้วย โดยเฉพาะข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน ต้องมีการจัดเตรียมไว้ให้ประชาชนเข้าตรวจดูได้ ตามประกาศคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ เรื่อง การกำหนดให้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและสุขภาพเป็นข้อมูลข่าวสารที่ต้องจัดไว้ให้ ประชาชนเข้าตรวจดูได้ตามมาตรา 9(8) แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540

อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันก็ยังพบว่าการใช้สิทธิเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร มีปัญหาอุปสรรคในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารหลายประการ เช่น

1.หน่วยงานของรัฐเพิกเฉยหรือดำเนินการล่าช้าในการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารให้ตามคำขอ

2.หน่วยงานของรัฐปฏิเสธไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสารของราชการตามคำขอ

3.ต้นทุนค่าใช้จ่ายในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่หลายครั้งมีราคาสูงกว่ารายได้ของประชาชนในชุมชนมาก

ซึ่งหากชุมชนต้องนำข้อมูลไปศึกษาหรือตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อใช้ประกอบกระบวนการมีส่วนร่วม เช่น การแสดงความคิดเห็นในโครงการที่อาจจะเกิดผลกระทบต่อวิถีชีวิตและสิ่งแวดล้อม ก็อาจทำให้ไม่ทันต่อสถานการณ์ที่มีความเร่งด่วนหรืออาจได้รับความเดือดร้อนจากผลกระทบที่เกิดขึ้นแล้ว สุดท้ายแล้ว ข้อมูลข่าวสารที่กว่าจะได้มาก็ยากลำบาก ก็อาจกลายเป็นสิ่งที่ไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้เสียแล้ว

ทั้งนี้เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2564 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ ร่างพ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารฯ ฉบับใหม่ ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า ทำให้หลักการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารราชการจากให้เปิดเผยเป็นหลัก ไม่เปิดเผยเป็นข้อยกเว้น กลายเป็น “ปกปิดเป็นหลัก เปิดเผยเป็นข้อยกเว้น” เช่น

-กำหนดข้อยกเว้น “ห้ามเปิดเผย” ข้อมูลข่าวสารของราชการที่หากเปิดเผยแล้วอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์

-กำหนดข้อยกเว้น “ห้ามเปิดเผย”ข้อมูลข่าวสารด้าน ‘ความมั่นคงของรัฐ’ ซึ่งอาจถูกตีความอย่างกว้างขวางมากขึ้นในร่างกฎหมายฉบับนี้

-เปิดช่องให้เจ้าหน้าที่สามารถใช้ดุลยพินิจตีความการใช้สิทธิในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารในการที่จะ “ไม่เปิดเผย” ข้อมูลข่าวสารของราชการได้มากยิ่งขึ้น

-กำหนดให้ศาลพิจารณาเป็นการลับ ในคดีที่เกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารที่ห้ามเปิดเผย กระทบต่อความโปร่งใสในกระบวนการยุติธรรม

-หากฝ่าฝืนจะต้องรับโทษทางอาญา ซึ่งมีโทษจำคุกสูงสุดถึง 10 ปี

คำถามหลักต่อร่างกฎหมายฉบับใหม่นี้จึงมีว่า ความพอดีในการเปิดเผยหรือปกปิดข้อมูลข่าวสารนี่อยู่ตรงไหนกันแน่ สำคัญกว่านั้นคือ “ใครเป็นคนบอกว่าความพอดีอยู่ตรงไหน” ดังนั้นเมื่อร่างกฎหมายฉบับใหม่ กำหนดไว้โดย “เปิดช่องให้ปกปิด” ข้อมูลข่าวสารของราชการไว้อย่างกว้างขวางเช่นนี้ จึงเป็นการลดทอนสิทธิของประชาชน ซ้ำเติมปัญหา เพิ่มความยาก และความล่าช้าในการได้รับข้อมูลข่าวสารจากหน่วยงานรัฐ ขยายปัญหาเดิมให้หนักขึ้นไปอีก

โดยหลังจากมีการเปิดเผยเนื้อหาของร่างกฎหมายฉบับนี้ ก็มีกระแสการคัดค้านอย่างหนักของประชาชน ทั้งจากแคมเปญ “#ไม่เอาพรบข้อมูลข่าวสาร อย่าให้รัฐปิดหูปิดตาประชาชน” บนเว็บไซต์ change.org ของภาคีนักเรียนสื่อ ซึ่งได้เข้ายื่น 17,789 รายชื่อแก่คณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน ในวันที่ 28 พฤษภาคม 2564

อีกทั้งองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น (ประเทศไทย) หรือ ACT ก็ได้ออกแถลงการณ์ระบุว่า ร่างกฎหมายนี้จะทำให้ความโปร่งใสของภาครัฐเลวร้ายลงกว่าเดิม ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 และแย้งกับแผนปฏิรูปประเทศ รวมถึงยังมีกระแสการคัดค้านอย่างคึกคักทั้งจากการที่สำนักข่าวหลายสำนักพร้อมใจกันนำเสนอผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดจากร่างกฎหมาย ทั้งจากการที่นักวิชาการ นักการเมือง องค์กรพัฒนาเอกชน และองค์กรด้านสิ่งแวดล้อม ออกมาแสดงออกว่าไม่เห็นด้วยกับร่างกฎหมายดังกล่าวกันอย่างหลากหลาย

จนทำให้ในวันที่ 15 มิถุนายน 2564 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี มีมติถอน ร่างพ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสาร ฉบับใหม่ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอเพื่อให้นำกลับไปทบทวนและรับฟังข้อเสนอจากหลายภาคส่วนที่มีเสียงคัดค้าน

แต่หลังจากข่าวคราวเงียบหายไปช่วงใหญ่ เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2564 ที่ผ่านมา เว็บไซต์ The Matter รายงานว่า ได้ทราบข่าวว่า การทบทวนร่างกฎหมายดังกล่าวเสร็จสิ้นแล้ว “ซึ่งไม่ถูกแก้ไขเลยแม้แต่ตัวอักษรเดียว” และได้ส่งกลับมาให้ วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย พิจารณา และส่งไปยังรัฐสภาเพื่อพิจารณาต่อไป

พรบ.ข้อมูลข่าวสารฉบับใหม่ เป็นประเด็นร้อนแรงในปี 2564 ที่เหมือนจะเงียบไป แต่ยังมีท่าทีที่พร้อมจะกลับมาอยู่ได้ทุกเมื่อ จึงเป็นเรื่องที่ประชาชนยังคงต้องย้ำ เฝ้าระวัง และติดตามกันอย่างใกล้ชิด เพื่อรักษาประตูที่ชื่อว่า “สิทธิในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารราชการ” ประตูด่านแรกในการเปิดไปสู่การปกป้องสิทธิในด้านอื่นๆ ของประชาชน

ข้อมูลเพิ่มเติม

เจตนารมณ์หรือวัตถุประสงค์ของการจัดให้มี พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 , สำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสาร Link

เสวนาออนไลน์หัวข้อ “สิทธิในข้อมูลข่าวสารกับสิทธิมนุษยชน – สถานการณ์ปัจจุบันในประเทศไทย” จัดโดยสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยการสนับสนุนจากสหภาพยุโรป , UN Human Rights – Asia  Link

“การเข้า (ไม่) ถึงข้อมูลข่าวสารสาธารณะ : สิทธิทางสิ่งแวดล้อมที่ประชาชนต้องจ่ายเงินซื้อ” , มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม Link

ร่าง พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารฯ ฉบับใหม่: ใบอนุญาตปกปิดข้อมูลข่าวสารสาธารณะ , ilaw Link

มองร่าง พ.ร.บ. (ปกปิด) ข้อมูลข่าวสารฯ ผ่านนักการเมือง สื่อมวลชน และนักกฎหมาย , Voice TV Link

ครม.ยอมถอย มีมติ ถอน “ร่าง พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสาร” ฉบับใหม่ , ฐานเศรษฐกิจ Link

มันกลับมาแล้ว! ร่าง กม.ข้อมูลข่าวสารฉบับประยุทธ์ ใครเปิดข้อมูลที่รัฐห้าม ‘คุกสูงสุด 10 ปี’ , The Matter Link

เหล้าเก่าในขวดใหม่!? อัปเดตร่าง พรบ. ข้อมูลข่าวสารฯ แก้ไขล่าสุด! , change.org (ภาคีนักเรียนสื่อ) Link

5 ประเด็น 4 ผลกระทบ “ร่าง พรบ.ข้อมูลข่าวสารฉบับใหม่” , สำนักข่าวสิ่งแวดล้อม – GreenNews Link

บทความที่เกี่ยวข้อง