สถานะเหมืองแร่ถ่านหินอมก๋อย…ภายใต้คำสั่งคุ้มครองชั่วคราวศาลปกครอง
มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม (EnLAW)
นับจากวันที่ชุมชนกะเบอะดิน และประชาชนในพื้นที่อมก๋อย จ.เชียงใหม่ ได้ยื่นฟ้องคณะกรรมการผู้ชำนาญการการพิจารณารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (คชก.) โครงการเหมืองแร่ (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1) และสำนักนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2) ต่อศาลปครองเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2565 เพื่อเพิกถอนมติเห็นชอบรายงานการประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment: EIA) โครงการเหมืองแร่ถ่านหินของบริษัท 99 ธุวานนท์ จำกัด (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 – บริษัทฯ) เนื่องจากเห็นว่าการพิจารณารายงาน EIA ไม่ครอบคลุมผลกระทบต่อวิถีชีวิต สุขภาพ และวิถีความเป็นอยู่ของชุมชนกะเบอะดิน และชุมชนทางผ่านที่จะใช้ขนแร่ และขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน รวมถึงมีพิรุธในการกระบวนการรับฟังความคิดเห็น
เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2565 ศาลปกครองเชียงใหม่มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวระงับโครงการเหมืองแร่ถ่านหินอมก๋อย โดยมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามมติคณะกรรมการผู้ชำนาญการฯ 2 ฉบับ ทั้งมติเห็นชอบรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) โครงการเหมืองแร่ถ่านหิน พื้นที่ อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ ในปี 2554 และมติที่ยืนยันการเห็นชอบรายงาน EIA เมื่อเดือนธันวาคม 2563 ไว้เป็นการชั่วคราว จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น โดยศาลระบุถึงเหตุผลและความจำเป็นในการออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว โดยสรุปว่า
- รายงาน EIA ของโครงการเหมืองถ่านหิน ไม่ถูกต้องตามรูปแบบ ขั้นตอน หรือวิธีการอันเป็นสาระสำคัญที่กฎหมายกำหนดไว้ และมติของคณะกรรมการผู้ชำนาญการฯ ที่เห็นชอบรายงาน EIA น่าจะมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยกฎหมายในการใช้ดุลพินิจ โดยศาลรับฟังข้อเท็จจริงว่า ตามรายงาน EIA ของโครงการระบุว่าจะมีการปิดกั้นทำลายและเบี่ยงเบนทางน้ำสาธารณะในพื้นที่เหมือง แต่ไม่มีการประเมินผลกระทบต่อการใช้น้ำของชุมชน ขาดการประเมินผลกระทบมลพิษจากถ่านหิน ต่อดิน น้ำใต้ดิน น้ำผิวดิน อากาศ การศึกษาผลกระทบในรายงาน EIA จำกัดพื้นที่เฉพาะรัศมี 3 กิโลเมตรโดยไม่มีแหล่งอ้างอิงและไม่ครอบคลุมผู้มีส่วนได้เสีย กับทั้งมีรายงานผลการตรวจสอบเรื่องร้องเรียนของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ฉบับวันที่ 24 มิถุนายน 2563 ยืนยันว่ามีการนำข้อมูลรายชื่อชาวบ้านที่เป็นเท็จไปประกอบการจัดทำรายงาน EIA เพื่อขอออกประทานบัตร ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
- ปรากฏข้อเท็จจริงตามคำชี้แจงของผู้ถูกฟ้องคดีว่า ปัจจุบันบริษัทเจ้าของโครงการได้นำรายงาน EIA ดังกล่าวไปดำเนินการยื่นขอประทานบัตรต่อเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจออกประทานบัตรสำหรับการทำเหมืองแร่ตามกฎหมายแล้ว โดยอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ซึ่งหากในระหว่างการพิจารณาของศาล เจ้าหน้าที่ได้ออกประทานบัตรการทำเหมืองแร่ถ่านหินให้แก่บริษัทเจ้าของโครงการ ย่อมส่งผลทำให้สามารถเข้าดำเนินโครงการทำเหมืองแร่ถ่านหินตามที่ได้รับอนุญาตได้
กรณีจึงเห็นว่าหากมติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ที่เห็นชอบรายงาน EIA มีผลใช้บังคับต่อไปในระหว่างพิจารณาคดี อาจทำให้ผู้ฟ้องคดีทั้งห้าสิบและประชาชนในบริเวณพื้นที่ดังกล่าวได้รับความเดือดร้อนเสียหาย ซึ่งความเสียหายที่เกิดจากปัญหาสิ่งแวดล้อมนั้น มักส่งผลกระทบรุนแรงและต่อเนื่องเป็นเวลายาวนาน แม้ต่อมาภายหลังศาลจะพิพากษาเพิกถอนมติเห็นชอบของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ดังกล่าวตามคำขอท้ายฟ้องของผู้ฟ้องคดีทั้งห้าสิบ ก็ไม่อาจแก้ไขเยียวยาความเสียหายที่ผู้ฟ้องคดีทั้งห้าสิบได้รับจากการบังคับตามผลของคำสั่งทางปกครองนั้นในระหว่างพิจารณาคดีให้หมดไปได้โดยสิ้นเชิง กรณีจึงถือเป็นความเสียหายอย่างร้ายแรงที่ยากแก่การแก้ไขเยียวยาในภายหลัง[1]
นั่นหมายความว่า ในระหว่างที่คำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลปกครองเชียงใหม่ยังมีผลใช้บังคับอยู่ บริษัทและทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่สามารถนำ “มติคณะกรรมการผู้ชำนาญการฯ ที่ให้ความเห็นชอบรายงาน EIA โครงการเหมืองแร่ถ่านหิน อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ ตามคำขอประทานบัตรที่ 1/2543” ไปใช้ประกอบการขออนุญาตหรือการพิจารณาอนุมัติอนุญาตประทานบัตรทำเหมืองแร่ หรือการอนุญาตตามกฎหมายอื่น รวมถึงการดำเนินการใดๆ ในพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้องกับรายงาน EIA ได้ จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น” ซึ่งปัจจุบันคดีนี้ยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองเชียงใหม่ ในขณะที่การยื่นอุทธรณ์คำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของบริษัทก็ยังคงอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองสูงสุด
และโดยปริยายย่อมมีผลรวมถึงการอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติเพื่อการทำเหมืองแร่ด้วย เพราะแม้บริษัทฯ จะได้รับใบอนุญาตจากกรมป่าไม้อยู่ก่อนศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ.2562 แต่โดยที่ใบอนุญาตฉบับดังกล่าวมีการกำหนดเงื่อนไขท้ายใบอนุญาตในข้อ 13 กำหนดให้ “ผู้รับอนุญาตต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่เสนอไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมฯ ซึ่งคณะกรรมการผู้ชำนาญการฯ ได้พิจารณาให้ความเห็นชอบในการประชุมครั้งที่ 24/2554 เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2554 อย่างเคร่งครัด”[2] ซึ่งเป็นมติเห็นชอบรายงาน EIA เดียวกันกับที่ถูกศาลปกครองเชียงใหม่สั่งคุ้มครองชั่วคราวไม่ให้มีผลบังคับใช้ทางกฎหมาย และศาลได้วินิจฉัยในเบื้องต้นแล้วว่าเป็นมติที่น่าจะโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย รายงานไม่มีการศึกษาประเมินผลกระทบในหลายด้าน และมีปัญหาเรื่องกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน กรณีจึงต้องถือว่ามาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบในรายงาน EIA อาจยังมีปัญหาข้อบกพร่องและไม่ครอบคลุมในสาระสำคัญ ซึ่งหากไม่มีการดำเนินการให้ครบถ้วนอาจทำให้เกิดผลกระทบความเสียหายร้ายแรงต่อทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และระบบนิเวศในพื้นที่เขตป่าสงวนแห่งชาติ อันยากแก่การฟื้นฟูเยียวยาในภายหลังได้
ประกอบกับตามระเบียบคณะกรรมการพิจารณาการใช้ประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข การขออนุญาตและการอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในเขตป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2565[3] ซึ่งใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันได้กำหนดให้การขออนุญาตเพื่อการทำเหมืองแร่ ต้องแนบเอกสารรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมฉบับสมบูรณ์ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการผู้ชำนาญการฯ แล้วประกอบคำขออนุญาตด้วย ดังนั้นเพื่อให้บรรลุตามเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและการคุ้มครองดูแลรักษาพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ และเพื่อปฏิบัติให้สอดคล้องตามคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลปกครองเชียงใหม่ กรมป่าไม้และหน่วยงานเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจึงมีหน้าที่ต้องกำกับดูแลไม่ให้บริษัทฯ เข้าดำเนินการใดๆ ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติที่ได้รับอนุญาตเพื่อการทำเหมืองแร่ถ่านหิน ตลอดจนระงับหรือชะลอการพิจารณาอนุญาตใดๆ ที่เกี่ยวข้องไว้ก่อนจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเป็นอย่างอื่น
ภายใต้คำประกาศเจตจำนงว่า “คนอมก๋อยไม่เอาเหมืองแร่ถ่านหิน” สถานการณ์ของชุมชนกะเบอะดินที่ลุกขึ้นปกป้องสิทธิชุมชนในการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และวิถีชีวิตวัฒนธรรมประเพณี และสิทธิการมีชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี ยังอยู่ในความเคลื่อนไหวของหน่วยงานรัฐ เอกชน และกระบวนการยุติธรรม ที่ต้องร่วมกันติดตามอย่างใกล้ชิด
[1] คำสั่งเกี่ยวกับวิธีการชั่วคราวก่อนการพิพากษา คดีหมายเลขดำที่ ส.1/2565 ศาลปกครองเชียงใหม่ https://enlawfoundation.org/wp-content/uploads/2022/10/Injunction-OmKoiCoalmineEIA-CMAdminCourt.pdf.
[2] หนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ เล่มที่ 59 ฉบับที่ 55 ลงวันที่ 29 มีนาคม 2562
[3] ระเบียบคณะกรรมการพิจารณาการใช้ประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข การขออนุญาตและการอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในเขตป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2565 https://drive.google.com/file/d/1gJV17Udvx83HNAkXniYtY8HGURYzepnp/view
ภาพประกอบ: The Standard