จากเยาวชนผู้แบกรับความเสี่ยงผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม สู่ผู้ฟ้องร้องรัฐบาลโคลอมเบีย

แอมะซอน (Amazon) ป่าดิบชื้นขนาดใหญ่ที่สุดในโลกได้รับสมญานามว่าเป็นปอดของโลก เต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์และความหลากหลายทางชีวภาพ ครอบคลุมพื้นที่ 9 ประเทศ คือ บราซิล โบลิเวีย เปรู โคลัมเบีย เอกวาดอร์ เวเนซุเอลา กายอานา ซูรินาเม และเฟรนช์เกียนา อย่างไรก็ตามแม้ว่าแอมะซอนจะได้ชื่อว่าเป็นผืนป่าขนาดใหญ่ที่อุดมสมบูรณ์ แต่ปัจจุบันป่าแห่งนี้กลับเต็มไปด้วยปัญหาการบุกรุกและสูญเสียพื้นที่ความเป็นป่าไปแล้วมากกว่า 50% (ข้อมูลในช่วงปี ค.ศ. 2019-2022) และหนึ่งในประเทศที่กำลังเผชิญกับปัญหานี้อย่างหนัก คือ โคลอมเบีย (Colombia)
 
ในแผนพัฒนาชาติปี 2014 – 2018 ของประเทศโคลอมเบียการลดการตัดไม้ทำลายป่าให้เป็นศูนย์ เป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญของรัฐบาล ไม่เพียงแค่นั้นเป้าหมายนี้ยังเป็นหนึ่งในข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) ที่เป็นสนธิสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยข้อกฎหมายเพื่อแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ มีทั้งหมด 196 ประเทศที่ลงนามเป็นประเทศสมาชิกภายใต้ข้อตกลงนี้ และแน่นอนว่าโคลอมเบียเองก็เป็นหนึ่งในประเทศสมาชิก ทว่ารัฐบาลโคลอมเบียกลับล้มเหลวทั้งในแผนพัฒนาชาติและข้อตกลงปารีส เนื่องจากรัฐบาลไม่สามารถจัดการกับปัญหาบุกรุกพื้นที่ป่าได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับป่าแอมะซอน มิหนำซ้ำปัญหานี้ยังทวีความรุนแรงขึ้น ในปี 2015 การตัดไม้ทำลายป่าในพื้นที่แอมะซอนของโคลอมเบียเพิ่มขึ้นถึง 44% ความล้มเหลวดังกล่าวของรัฐบาลนำมาสู่คดีการฟ้องร้องรัฐบาลจากกลุ่มเยาวชน 25 คน
 
มาตรา 79: บุคคลทุกคนมีสิทธิและมีส่วนร่วมในการมีสิ่งแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพ พระราชบัญญัติจะต้องรับประกันการมีส่วนร่วมของชุมชนในการตัดสินใจที่อาจส่งผลกระทบต่อพวกเขา และเป็นหน้าที่ของรัฐที่จะต้องปกป้องความหลากหลาย ความสมบูรณ์ของสิ่งแวดล้อม และอนุรักษ์พื้นที่ที่มีความสำคัญทางนิเวศวิทยาเป็นพิเศษ ตลอดจนส่งเสริมการศึกษาเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์เหล่านี้
 
มาตรา 79 ข้างต้น เป็นมาตราที่ศาลให้ความสำคัญต่อคดีการฟ้องร้องรัฐบาลฐานล้มเหลวในการจัดการปัญหาตัดไม้ทำลายป่าแอมะซอนในโคลอมเบีย โดยผู้ฟ้องคือเยาวชนทั้ง 25 คน กล่าวว่าพวกเขาและคนรุ่นถัดไปกำลังถูกละเมิดสิทธิในการมีสิ่งแวดล้อมที่ดีจากความล้มเหลวของรัฐ เพราะถือว่ารัฐมีหน้าที่ในการดูแลผืนป่าแอมะซอนนี้ไว้ไม่ให้ถูกทำลาย หากป่าถูกทำลายแล้วจะส่งผลกระทบต่อสภาพอากาศและทำให้ปริมาณคาร์บอนในชั้นบรรยากาศจะเพิ่มขึ้น ระบบนิเวศจะเสียสมดุล อากาศและอุณหภูมิจะสูงขึ้นจากการสูญเสียป่าที่สำคัญต่อระบบนิเวศ แน่นอนว่าคนรุ่นถัดไปจะได้รับผลกระทบจากความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวโดยตรง ซึ่งศาลสูงเห็นชอบต่อการฟ้องร้องนี้และให้ความเห็นที่สอดคล้องกับมาตรานี้ว่า “สิทธิขั้นพื้นฐานของชีวิต สุขภาพ การดำรงชีวิต เสรีภาพ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์นั้นเชื่อมโยงกันอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศจะเป็นตัวกำหนด” นอกจากนี้ศาลยังให้ความสำคัญกับชาวแอมะซอนในโคลอมเบียและให้ถือว่าเป็นผู้มีสิทธิที่จะได้รับการคุ้มครอง การอนุรักษ์ การบำรุงรักษา และการฟื้นฟู สะท้อนให้เห็นถึงการตัดไม้ทำลายป่าที่จะทำให้ระบบนิเวศเสื่อมโทรม ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสภาพอากาศที่รุนแรงแรงยิ่งขึ้นให้กับชาวโคลอมเบียทั้งในรุ่นปัจจุบันและรุ่นอนาคต นี่เป็นเหตุผลที่พวกเขามีสิทธิได้รับการคุ้มครอง ดังนั้นการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพของระบบนิเวศและป่า จึงถือเป็นการบ่อนทำลายสิทธิในการดำรงชีวิตขั้นพื้นฐานและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
 
นอกจากนี้ศาลยังมีคำสั่งให้รัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหาการตัดไม้ทำลายป่าในพื้นที่แอมะซอนด้วยการเสนอแผนดำเนินการภายในระยะเวลา 4 เดือน โดยแผนการดำเนินงานนี้ต้องสร้างข้อตกลงร่วมกับคนรุ่นอนาคตด้วย ทั้งนี้เนื่องจากคดีนี้เป็นคดีที่ฟ้องโดยเยาวชน พวกเขาจึงอยากจะเน้นย้ำให้เห็นผ่านคดีนี้ว่าเยาวชนหรือคนรุ่นถัดไปก็เป็นหนึ่งในประชาชนผู้มีสิทธิที่จะมีส่วนร่วมในการกำหนดความเป็นธรรมทางสิ่งแวดล้อมด้วยเช่นกัน
รูปภาพจาก: Dejusticia
บทความที่เกี่ยวข้อง