หรือต้องเอา ป่าเขา เต่าทะเล วิถีชีวิตคนใต้ แลกกับอุตสาหกรรม?

ว่าด้วยข้อมูลผลกระทบจากรายงาน Land bridge Effect

หากการพัฒนาเศรษฐกิจหมายถึงการเดินไปข้างหน้า เราควรแน่ใจว่ามันเป็นก้าวที่มั่นคงไม่ใช่ก้าวที่เหยียบย่ำสิ่งที่เรารักและต้องการรักษาไว้”

 

ข้อความดังกล่าวปรากฏอยู่ในรายงานการศึกษาผลกระทบโครงการท่าเรือน้ำลึกแลนด์บริดจ์ชุมพร – ระนอง Land bridge Effect หนังสือเล่มนี้เป็นการศึกษาผลกระทบของโครงการแลนด์บริดจ์ในหลายมิติ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และกฎหมายระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (Economic Southern Corridors) ซึ่งเป็นกฎหมายที่จะเข้ามาเปิดทางให้เกิดโครงการแลนด์บริดจ์ และเอื้อให้กับการลงทุนจากต่างชาติ แม้ปัจจุบันยังเป็นเพียงร่างพระราชบัญญัติฯ แต่ในรายละเอียดของกฎหมายฉบับนี้กลับให้อำนาจแก่ฝ่ายบริหาร และมีลักษณะขัดกับหลักการรัฐธรรมนูญจนเรียกได้ว่าเป็น Super Law ที่สามารถลบล้างหรือยกเว้นการใช้บังคับกฎหมายฉบับอื่น ๆ ได้ และเอื้อให้กับการลงทุนอุตสาหกรรมกับต่างชาติ กลายเป็น ‘กฎหมายพิเศษสำหรับคนพิเศษ’

โครงการแลนด์บริดจ์ เป็นโครงการของรัฐบาลที่มาดหมายจะปลุกปั้นเชื่อมสองฝั่งทะเลใต้ เพื่อเป็นความหวังในการพลิกเศรษฐกิจมา มาถึง 3 รัฐบาล[1] ด้วยต้องการสร้างท่าเรือน้ำลึกขนาดใหญ่สองฝั่งทะเล และเชื่อมต่อด้วยทางรถไฟและถนนขนส่งพิเศษ เพื่อลดระยะทางเดินเรือและเพิ่มขีดความสามารถทางการค้า แต่ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมถึงวิถีชีวิตของผู้คนภาคใต้ในระยะยาว ยังคงรางเลือน มีเพียงแต่มาตรการป้องกันความเสียหาย จึงมีคำถามที่ดังที่สุดว่า อะไรคือความเสียหายที่ไม่อาจหวนคืน เมื่อโครงการแลนด์บริดจ์ และร่างพระราชบัญญัติเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้จะเกิดขึ้น ?

พื้นที่หล่อเลี้ยงชีวิตที่ไม่อาจประเมินค่าได้ จะถูกสั่นคลอน

โครงการแลนด์บริดจ์ชุมพร – ระนอง เป็นโครงการที่จะประกอบด้วย 3 โครงการ คือ โครงการพัฒนาท่าเรือระนอง ท่าเรือน้ำลึกแหลมริ่ว จังหวัดชุมพร ท่าเรือน้ำลึกอ่าวอ่าง จังหวัดระนอง รถไฟรางคู่ และทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (Motorway) ช่วงท่าเรือชุมพร – ท่าเรือระนอง ที่จะสร้างขึ้นเพื่อรองรับการคมนาคมขนส่งเชื่อมสองฝั่งทะเล

พื้นที่อำเภอพะโต๊ะ จ.ชุมพร เป็นหนึ่งพื้นที่ของการสร้างทางมอเตอร์เวย์ ซึ่งต้องมีที่ดินของชาวบ้านที่จะถูกเวนคืน และข้อห่วงกังวลต่อการแย่งชิงทรัพยากรในพื้นที่

SEC เป็นพื้นที่อุตสาหกรรม สิ่งที่ตามมาคือการแย่งชิงทรัพยากร เส้นทางผ่านคือ พะโต๊ะ หลังสวน ซึ่งเป็นอาชีพเกษตรกรเป็นส่วนใหญ่ สิ่งที่สำคัญสำหรับเกษตรกรก็คือน้ำ และเมื่ออุตสาหกรรมเกิดขึ้นในพื้นที่ก็ต้องใช้น้ำเช่นกัน อุตสาหกรรมก็จะมาแย่งชิงน้ำจากเกษตรของเรา ในปีที่ผ่านมาภาวะภัยแล้ง เกษตรกรแทบมีน้ำไม่พอใช้ และพื้นที่พะโต๊ะ ชุมพร ก็เป็นพื้นที่ต้นน้ำ มีป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ในระดับ 1A เป็นต้นน้ำของแม่น้ำหลังสวน คือ คลองพะโต๊ะ เป็นเส้นเดียวกันที่พาดผ่านจากพะโต๊ะไปหลังสวนเป็นลำน้ำสายหลักที่หล่อเลี้ยง อำเภอตอนล่างของชุมพรคือ อ.พะโต๊ะ อ.หลังสวน อ.ทุ่งตะโก และ อ.ละแม อีกสองอำเภอข้างเคียงก็มีการมาใช้น้ำจากอำเภอพะโต๊ะเช่นกัน หากมีโครงการนี้เกิดขึ้นก็จะกระทบกับอาชีพของเรา”  ธเนศ ทับทิมทอง[2] เครือข่ายรักษ์พะโต๊ะ

สำหรับคนพะโต๊ะเองที่มีแหล่งทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์ ดินดี น้ำดี อากาศดี ปลูกอะไรก็ขึ้น จึงมีเกษตรกรจำนวนมาก และเป็นแหล่งพืชเกษตรที่สำคัญที่สุดคือ ทุเรียน จากการทำข้อมูลพืชเกษตรของจังหวัดชุมพร ในปี 2566 พบว่า จังหวัดชุมพรมีรายได้ทั้งจังหวัดที่ 32,000 ล้านบาท เป็นรายได้ทุเรียนของอำเภอพะโต๊ะ 6,000 ล้านบาท และพะโต๊ะมีรายได้ที่รวมพืชเศรษฐกิจทุกอย่างประมาณ 8,600 ล้านบาท จึงแสดงให้เห็นว่ารายได้ของพะโต๊ะ เป็นเกษตรมูลค่าสูง เป็นแหล่งเกษตรมูลค่าสูงที่ส่งออกทุเรียน และมังคุดที่สำคัญของไทย การเข้ามาของโครงการมอเตอร์เวย์จึงสร้างความกังวลต่อการถูกเวนคืนพื้นที่ของชาวบ้านอย่างมาก เพียงเพราะรัฐต้องการที่จะสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองเชื่อมต่อไปยังโครงการท่าเรือน้ำลึกชุมพร-ระนอง

โครงการท่าเรือน้ำลึก 2 แห่ง คือ 1.ท่าเรือน้ำลึกแหลมริ่ว อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร หากอ่านจากเอกสารจะใช้พื้นที่เพื่อถมทะเล รวม 5,808 ไร่ และพื้นที่ท่าเทียบเรือที่ต้องเตรียมไว้ ประมาณ 7,580 ไร่ และ 2. ท่าเรือน้ำลึกอ่าวอ่าง อำเภอเมือง จังหวัดระนอง ต้องใช้พื้นที่สำหรับการถมทะเล 6,975 ไร่ และท่าเทียบเรือขนาดประมาณ 5,633 ไร่ แต่หากเรามองบนพื้นดิน ทะเล ทางกายภายในพื้นที่ตั้งโครงการ เราจะเห็นชีวิต เลือดเนื้อของผู้คน สิ่งมีชีวิต และสิ่งแวดล้อมในพื้นที่

 

ชีวิต เลือดเนื้อของผู้คน สิ่งมีชีวิต และสิ่งแวดล้อมในพื้นที่

  • พื้นที่ท่าเรือน้ำลึกแหลมริ่ว อ.หลังสวน จ.ชุมพร

พื้นที่ท่าเรือน้ำลึกแหลมริ่ว อ.หลังสวน จ.ชุมพร

พื้นที่บริเวณโดยรอบโครงการท่าเรือน้ำลึกนั้นเป็นพื้นที่เกษตรกรรม มีประชาชนอาศัยอยู่ 2 ตำบล คือ ตำบลบางน้ำจืด และตำบลปากน้ำ ที่จะได้รับผลกระทบจำนวน 7,721 คน ที่มีชุมชนชายฝั่งสำคัญ คือ ชุมชนหาดทองโข ชุมชนประมงแหลมริ่ว ชุมชนริมชายหาดบางน้ำจืด ชุมชนปากน้ำหลังสวน และชุมชนบนเกาะพิทักษ์ที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ประมงพื้นบ้าน และแปรรูปสัตว์น้ำ มีโรงเรียนบางหยี และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบางน้ำจืด ที่อยู่ในรัศมี 1 กิโลเมตรของโครงการ พื้นที่สถานศึกษา โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล และโรงพยาบาลอีก 14 แห่ง รวมถึงชุมชน จำนวน 2,105 หลังคาเรือน ซึ่งอยู่ในรัศมี 5 กิโลเมตรของโครงการรวมสถานที่ที่มีความอ่อนไหวจากโครงการจำนวน 16 แห่ง

ด้านสภาพทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พบว่า บริเวณเกาะพิทักษ์ อยู่ห่างกับพื้นที่โครงการในรัศมี 1 กิโลเมตร ทั้งมีแนวปะการังน้ำตื้นตามธรรมชาติ ประมาณ 13.06 ไร่ เป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำและรักษาสมดุลระบบนิเวศชายฝั่งทะเล จากงานศึกษาชิ้นนี้ยังทำให้ทราบได้ว่า พื้นที่ของอำเภอหลังสวน ในคลองริ่ว คลองหลังสวน ชายหาดและทะเล มีสัตว์น้ำนับร้อยชนิด ได้แก่ ปลา 85 ชนิด ปู 8 ชนิด หมึก 5 ชนิด หอย 7 ชนิด และสัตว์น้ำที่สำคัญต่อนิเวศ เช่น โลมา เต่าตนุ ฉลาม เป็นต้น ซึ่งสามารถสร้างรายได้ให้กับประมงพื้นบ้านฝั่งชุมพร มีรายได้เฉลี่ยครัวเรือนละ 29,450.75 บาทต่อเดือน ซึ่งมีมูลค่าจากการทำประมงพื้นบ้านของครัวเรือนจำนวน 224 ครัวเรือน มากถึง 79,163,616 บาทต่อปี

 

  • พื้นที่ท่าเรือน้ำลึกระนอง แหลมอ่าวอ่าง จ.ระนอง

โครงการท่าเรือน้ำลึกระนอง จะตั้งอยู่บริเวณแหลมอ่าวอ่าง ต่อเนื่องกับพื้นที่ 2 อำเภอ 4 ตำบล คือ ตำบลราชกรูด ตำบลเกาะพยาม อำเภอเมือง ตำบลม่วงกลวง อำเภอกะปอร์ จังหวัดระนอง มีผู้ที่อาจได้รับผลกระทบจำนวน 36,913 คน ซึ่งมีสังคมแบบพหุวัฒนธรรมอาศัยอยู่ร่วมกัน เช่น ชาวเล มอแกน และไทยพลัดถิ่น ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม และการประมง พื้นที่โดยรอบรัศมีโครงการ 5 กิโลเมตร มีชุมชนจำนวน 7 ชุมชน และมีชุมชนชายฝั่งที่ชาวบ้านอาศัยอยู่เกินรัศมีโครงการ 5 กิโลเมตร เช่น ชุมชนหาดทรายดำ ชุมชนบริเวณท่าเรือแหลมสน ชุมชนท่าเรือม่วงกลวง เป็นต้น และมีพื้นที่ความเชื่อความศรัทธาของประชาชนในพื้นที่และประชาชนทั่วที่ตั้งอยู่ในพื้นที่เกาะสน ซึ่งเป็นพื้นที่โครงการเช่นกัน

ด้านฐานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เฉพาะพื้นที่ตำบลราชกรูด ตำบลเกาะพยาม อำเภอเมือง และตำบลม่วงกลวง อำเภอกะเปอร์ มีความสมบูรณ์และมีความหลากหลายทางชีวภาพอย่างมาก จนได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็น “พื้นที่สงวนชีวมณฑลระนอง” (Ranong Biosphere Reserves) และพื้นที่โดยรอบโครงการท่าเรือน้ำลึกระนอง (แหลมไผ่, อ่าวอ่าง) ยังเป็นพื้นที่อนุรักษ์ที่สำคัญ ทับซ้อนกับพื้นที่คุ้มครองทางทะเลและชายฝั่ง คือ “พื้นที่ชุมน้ำปากแม่น้ำกระบุรี-ปากคลองกะเปอร์” และทับซ้อนกับพื้นที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะระนอง รวมถึงอุทยานแห่งชาติแหลมสน ที่มีพื้นที่ชั้นคุณภาพลุ่มน้ำชั้น 1A ที่อยู่ห่างจากโครงการท่าเรือน้ำลึกเพียง 240 เมตร

ดังนั้น ในทางความสำคัญของนิเวศวิทยา พื้นที่ตั้งโครงการท่าเรือน้ำลึกระนองนั้นตั้งอยู่บนพื้นที่ชุ่มน้ำปากน้ำกระบุรี-ปากคลองกะเปอร์ซึ่งเป็นแรมซาร์ไซต์[3] ลำดับที่ 8 ของประเทศไทย และลำดับที่ 1,183 ในทะเบียนพื้นที่ชุมชนที่มีความสำคัญระหว่างประเทศ และเป็นพื้นที่แหล่งอนุรักษ์ทะเลอันดามัน ซึ่งกำลังจะถูกเสนอชื่อขึ้นเป็นทะเบียนแหล่งมรดกโลก ประกอบกับบริเวณรอบเกาะพยาม และรอบเกาะขาม ยังมีแหล่งปะการังน้ำตื้น อีกจำนวนมากที่ยังไม่พบการฟอกขาว เต็มไปด้วยปลาหลากหลายชนิด จะเห็นได้ว่าความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศและความมั่งคั่งของทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งในพื้นที่จังหวัดระนอง เป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนกลไกทางเศรษฐกิจทั้งมิติด้านการประมง การท่องเที่ยว ระบบนิเวศ ที่ทำให้เกิดการจ้างงานรวมถึงธุรกิจต่อเนื่องจากความมั่งคั่งของทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งในพื้นที่

จากการศึกษากิจกรรมเศรษฐกิจของประมงพื้นบ้านริมชายฝั่ง ในพื้นที่จำนวน 2 อำเภอ คือ อำเภอเมือง และอำเภอกะเปอร์ ของกลุ่มตัวอย่าง 105 คน พบว่า มีเรือประมงพื้นบ้าน จำนวน 2,047 ลำ มีรายได้เฉลี่ยครัวเรือน 21,670.85 บาทต่อเดือน และมีมูลค่าการทำประมงพื้นบ้านใน 2 อำเภอของจังหวัดระนอง รวม 559,805,497 บาทต่อปี ทำให้การเข้ามาของโครงการท่าเรือน้ำลึก จึงอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ของประมงพื้นบ้าน ดังคำบอกเล่าของตัวแทนประมงพื้นบ้านว่า

“ถ้ามีท่าเรือน้ำลึกฝั่งระนอง เกิดขึ้น จะลำบาก เพราะว่า ชาวจังหวัดระนองได้หากินในทะเลระนองขุมทองอันดามันในอ่าวแห่งนั้น ก็จะใช้ประมงตลอดทั้งหมด 5 อำเภอ ก็จะมาหาที่ดอนตาแพ้ว เป็นดอนที่ใหญ่ และน้ำขึ้นน้ำลง … มีทั้งปะการัง หญ้าทะเล หลากหลาย อย่างที่เราสรรหาไม่หมด มีปลาหลากหลายที่รู้จักและไม่รู้จัก ชื่อตั้งแต่บรรพบุรุษ แต่ล้วนทั้งรู้จักและไม่รู้จัก ก็มาบริโภคได้ และล้วนแลกเป็นเงินมาเลี้ยงครอบครัวได้” สามารถ นาวาลอย ประมงพื้นบ้านเครือข่ายรักษ์ระนอง[4]

                                         

 

ขณะเดียวกัน จังหวัดระนองจึงเป็นหนึ่งในพื้นที่เปราะบางทางสังคมที่จะได้รับผลกระทบจากโครงการนี้ เพราะมีทั้งกลุ่มชาติพันธุ์ ชาวมอแกน จำนวน 502 คน และคนไทยพลัดถิ่น ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่เข้าไม่ถึงสิทธิขั้นพื้นฐานของรัฐในทุกด้าน และดำรงชีพด้วยการใช้ภูมิปัญญาเพื่อเลี้ยงชีพในท้องทะเลจากรุ่นสู่รุ่นของชาวมอแกน เช่น ความรู้ด้านการเดินเรือ การจับสัตว์น้ำด้วยการฟังเสียป่าใต้น้ำ การสังเกตสภาพภอากาศคลื่นลมทะเล รวมถึงทักษะในการดำน้ำจับสัตว์น้ำที่มีความเป็นเฉพาะตัว ดังนั้น คนกลุ่มนี้จึงเป็นผู้ที่จะได้รับผลกระทบในทางสังคมมากที่สุดกลุ่มหนึ่ง

“ปัญหาของพี่น้องมอแกน พี่น้องไทยพลัดถิ่นก็เจอกันอยู่ทุกวันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะการรักษาพยาบาลที่เข้าไม่ถึง เรื่องการเดินทาง การเรียนหนังสือ เรื่องสิทธิขั้นพื้นฐานทั้งหมด เราเจอปัญหากันอยู่แล้ว พอมีโครงการขนาดใหญ่ กฎหมาย SEC จะเข้ามาในพื้นที่ คนกลุ่มนี้ไม่ได้อยู่ในสมการนั้นเลย เขาไม่ได้พูดถึงคนกลุ่มนี้เลย จะเอายังไงกับคนกลุ่มนี้ แต่อย่าลืมนะว่าคนกลุ่มนี้ เขาก็คน เขาคือคนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ มานานแล้วด้วย ปัญหาเก่ายังไม่ได้แก้ แล้วเอาปัญหาใหม่มาให้พี่น้อง” รสิตา ซุ่ยยัง เครือข่ายรักษ์ระนอง

โครงการแลนด์บริดจ์เกิดไม่ได้ ถ้าไม่มีกฎหมายพิเศษ

“อยากจะย้ำว่า แลนด์บริดจ์ กับSEC คือเรื่องเดียวกัน แลนด์บริดจ์ คือส่วนหนึ่งของการพัฒนา SEC
แต่ถ้ามี SEC จะมีการพัฒนาที่ใหญ่กว่านั้น เพราะว่าเป็นกฎหมายที่เอื้อต่อการลงทุน แน่นอน SEC คือหมุดหมายในการใช้เปิดพื้นที่ การพัฒนาหนึ่งที่เราใช้คือที่ดิน อย่างน้อยเป็นพันๆ ไร่ อันนี้ยังไม่พูดถึงถนนและมอเตอร์เวย์
อีกส่วนหนึ่งคือว่า ทรัพยากรอื่นที่จะต้องมาโจทย์ในการพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นแหล่งน้ำ แหล่งทรัพยากรต่าง ๆ”

สุภาภรณ์ มาลัยลอย มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม

การเกิดขึ้นของโครงการแลนด์บริดจ์ จะเกิดขึ้นไม่ได้หากไม่มีกฎหมายพิเศษให้เปิดทางไว้ ดังนั้น ร่างพระราชบัญญัติระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษ พ.ศ. … (ร่างกฎหมาย SEC) จึงเป็นกฎหมายฉบับสำคัญที่ถูกรัฐบาลเร่งรัดให้หน่วยงานรัฐต้องร่างกฎหมายฉบับดังกล่าว เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2568 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม นางมนพร เจริญศรี แจ้งว่า จะมีการเสนอให้กระทรวงคมนาคมเป็นผู้เสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ในวันที่ 11 มีนาคม 2568 เพื่อพิจารณาและมีมติมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เป็นผู้จัดทำร่าง พ.ร.บ. SEC และจะมีการจัดตั้งคณะกรรมการนโยบายและสำนักงานนโยบายระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (SEC) ต่อไป[5]

นอกจากนี้ความเคลื่อนไหวของรัฐบาล อีกด้านหนึ่งพรรคภูมิใจไทย และพรรคพลังประชารัฐ ก็ได้มีการเสนอร่างพระราชบัญญัติระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ พ.ศ. … จำนวน 3 ฉบับ โดย 1. นายสฤษฏ์พงษ์ เกี่ยวข้อง 2. นายอนุทิน ชาญวีรกูล และ 3. นายอนุชา บูรพชัยศรี ซึ่งปัจจุบันได้ผ่านการจัดรับฟังความคิดเห็นต่อร่างกฎหมายเป็นที่เรียบร้อย

ร่างกฎหมายฉบับนี้จึงเป็นเงื่อนไขสำคัญสำหรับการสร้างโครงการแลนด์บริดจ์ชุมพร-ระนองอย่างปฏิเสธไม่ได้ อย่างไรก็ตาม มีข้อห่วงกังวลต่อร่างกฎหมาย SEC กับประเด็นปัญหาทางกฎหมาย ที่จะกระบทบต่อการหลักการแบ่งแยกอำนาจ ใน 3 ประเด็นหลัก ดังนี้

  1. การรวมอำนาจแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด และการสร้างระบบยกเว้นทางกฎหมายในพื้นที่ SEC การรวบอำนาจตัดสินใจไว้ที่คณะกรรมการนโยบาย ที่ประกอบด้วยคณะรัฐมนตรี ซึ่งมีอำนาจในการพิจารณา อนุมัติ อนุญาต ดำเนินการในกิจการต่างๆ ในพื้นที่ SEC และให้ความเห็นชอบตามกฎหมายอีกหลายฉบับ กฎหมายฉบับนี้ยังเอื้อให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ ด้วยการยกเว้นไม่ต้องบังคับใช้ตามพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ.​ 2562 การยกเว้นการบังคับใช้กฎหมาย การยกเว้นกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ การยกเว้นกฎหมายเกี่ยวกับการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม การยกเว้นสิทธิในการถือครองที่ดินของคนต่างด้าว การยกเว้นกฎหมายว่าด้วยที่ราชพัสดุ การยกเว้นกฎหมายาว่าด้วยคนเข้าเมือง การยกเว้นกฎหมายว่าด้วยศุลกากร การยกเว้นกฎหมายควบคุมเกี่ยวกับการประกอบวิชาชีพ ซึ่งอำนาจดังกล่าวตามกฎหมายนี้ทำให้เกิดการรวมอำนาจแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด และสร้างระบบยกเว้นในทางกฎหมาย เป็นเสมือนกัน Super Law ที่สามารถลบล้างหรือยกเว้นกฎหมายอื่นและแก้รายละเอียดกฎหมายฉบับอื่นได้ด้วย
  1. ปัญหาในทางรัฐธรรมนูญ โดยหลักการทางนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ หลักการแบ่งแยกอำนาจ ถือเป็นพื้นฐานของการบริหารประเทศที่ต้องการให้เกิดระบบตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจของฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ ซึ่งหลักการนี้ได้รับการรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ แต่ร่างกฎหมายฉบับนี้กลับให้อำนาจแก่ฝ่ายบริหารไว้อย่างเบ็ดเสร็จ ผ่านคณะกรรมการนโยบายดังที่ได้กล่าวไปแล้ว ขณะเดียวกันร่างกฎหมายนี้ยังขัดต่อสิ่งที่รัฐธรรมนูญรับรองสิทธิและเสรีภาพเอาไว้หลายประการ เช่น บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการประกอบอาชีพ สิทธิชุมชนในการจัดการทรัพยากรของตน และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม และความหลากหลายทางชีวภาพอย่างสมดุลและยั่งยืน รวมถึงหน้าที่ของรัฐในการอนุรักษ์ฟื้นฟู ศิลปวัฒนธรรม ทรัพยากรธรรมชาติ หรือหน้าที่ของรัฐในการศึกษาและประมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ เป็นต้น
  1. กลไกทางกฎหมายในการตรวจสอบทางรัฐสภา และศาลรัฐธรรมนูญ  ในกรณีที่ร่างกฎหมาย SEC ถูกนำเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาแล้ว ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 148 กำหนดมาตรการในการตรวจสอบความชอบธรรมของกฎหมายว่าต้องเป็นไปโดยที่ไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ซึ่งหากร่างพระราชบัญญัติใดสุ่มเสี่ยงว่าจะขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ ก่อนที่ร่างพระราชบัญญัติฉบับนั้นจะถูกนำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเพื่อพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือสมาชิกของทั้งสองสภารวมกันมีจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา ให้เสนอความเห็นต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานวุฒิสภา หรือประธานรัฐสภา แล้วแต่กรณี แล้วให้ประธานแห่งสภาได้รับความเห็นดังกล่าวส่งความเห็นนั้นไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย หรือหากนายกรัฐมนตรีเห็นว่าร่างกฎหมายน่าจะมีปัญหาไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ก็สามารถส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญได้เช่นกัน

การมีกฎหมายฉบับใดฉบับหนึ่งเกิดขึ้นก็ควรจะเป็นไปเพื่อประโยชน์ของประชาชน ความเป็นอยู่ที่ดี ยั่งยืนของคนในประเทศ มิควรเป็นกฎหมายที่สร้างขึ้นมาและใช้ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม อันเป็นของส่วนร่วมเพื่อคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ทั้งจะทำให้ผลกระทบต่อวิถีชีวิต ที่ไม่อาจจะเยียวยาย้อนคืนให้กลับมาเป็นดังเดิมได้

บทความชิ้นนี้เป็นเพียงข้อมูลส่วนหนึ่งในรายงานการศึกษาผลกระทบโครงการท่าเรือน้ำลึกแลนด์บริดจ์ชุมชร-ระนอง แต่ยังมีอีกหลายประเด็นที่น่าสนใจ ควรค่าแก่การอ่านและทำความเข้าใจของชีวิต เลือดเนื้อ วีถีชีวิตของผู้คน และทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่โครงการท่าเรือน้ำลึกแห่งนี้

อ่านฉบับเต็มได้ที่ รายงานผลกระทบโครงการท่าเรือน้ำลึกแลนด์บริดจ์ชุมพร-ระนอง Land bridge Effect ฉบับเต็ม

 

อ้างอิงข้อมูลจาก:

[1]  1. พ.ศ.​ 2549 รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ได้มีการอนุมัติงบประมาณให้มีการศึกษาความเป็นไปได้และออกแบบโครงการท่าเรือน้ำลึกปากบารา อำเภอละงู จังหวัดสตูล เชื่อมต่อกับโครงการท่าเรือน้ำลึกสงขลาแห่งที่ 2 พื้นที่อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา รวมถึงการศึกษาโครงการก่อสร้างเส้นทางรถไฟรางคู่ เชื่อมต่อกับโครงการท่าเรือน้ำลึกทั้งสองแห่ง ข้อมูลจากรายงาน “Land bridge Effect: เสียงสะท้อน ผลกระทบท่าเรือน้ำลึก โครงการแลนด์บริดจ์ชุมพร – ระนอง”, หน้า 10.

  1. พ.ศ. ​2560 รัฐบาล คสช. ประยุทธ์ จันทรโอชา 1 โครงการท่าเรือน้ำลึกปากบารา มีการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นครั้งที่ 1 (ค.1) โดยกรมเจ้าท่า แต่ถูกคัดค้นาอย่างหนักจากในพื้นที่ และช่วงปี 2564 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ ประกาศเดินหน้าศึกษาโครงการวิเคราะห์รูปแบบโมเดลการพัฒนาการลงทุนโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้เชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน กำหนดให้พื้นที่จังหวัดชุมพร – ระนอง เป็นที่ตั้งโครงการเพื่อพัฒนาโครงข่ายโลจิสติกส์ภาคใต้ ข้อมูลจากรายงาน “Land bridge Effect: เสียงสะท้อน ผลกระทบท่าเรือน้ำลึก โครงการแลนด์บริดจ์ชุมพร – ระนอง”, หน้า 11.
  2.  พ.ศ.​ 2566 รัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2566 คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบหลักการโครงการพัฒนาโครงสร้าพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง เพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน (โครงการแลนด์บริดจ์) และให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการรับฟังความคิดเห็นจากนักลงทุนต่างประเทศ (Road Show) ในการพัฒนาโครงการแลนด์บริดจ์เพื่อนำมาประกอบในการจัดทำร่างเอกสารเชิญชวนผู้ลงทุนในการร่วมลงทุนโครงการ (RFP) ต่อไป,  ผู้จัดการออนไลน์, ครม.เศรษฐาเคาะ “แลนด์บริดจ์” เดินหน้าโรคโชว์ทุนต่างชาติผุดเฟสแรก 5.22 แสนล้าน

[2] สรุปประเด็นจากงานเสวนาเเละเปิดตัวรายงาน “Land bridge Effect : เสียงสะท้อน ผลกระทบท่าเรือน้ำลึกชุมพร-ระนอง วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568

[3] พื้นที่แรมซาร์ มาจากอนุสัญญาแรมซาร์ (Ramsar Convention) คือ อนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศ ถือเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำเป็นตัวแทนหายากหรือมีลักษณะพิเศษเฉพาะ ซึ่งพบในเขตชีวภูมิศาสตร์ที่เหมาะสม มีความสำคัญระหว่างประเทศสำหรับการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพที่เกี่ยวข้องกับชนิดพันธุ์และชุมชนประชากรทางนิเวศของนกน้ำและปลา  แวดล้อมอีสาน, พามาเบิ่ง “แรมซาร์ไซต์” พื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศในภาคอีสาน, : 

[4] หนังสือสรุปประเด็นจากงานเสวนาเเละเปิดตัวรายงาน “Land bridge Effect : เสียงสะท้อน ผลกระทบท่าเรือน้ำลึกชุมพร-ระนอง วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568

[5] สำนักข่าวอิศรา

 

บทความที่เกี่ยวข้อง