มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม – EnLAW Thu, 28 Aug 2025 10:21:39 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.8.2 https://enlawfoundation.org/wp-content/uploads/2021/04/cropped-Favicon-EnLAW-1-32x32.png มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม – EnLAW 32 32 Land Bridge Effect https://enlawfoundation.org/land-bridge-effect-2/ https://enlawfoundation.org/land-bridge-effect-2/#respond Thu, 28 Aug 2025 10:21:17 +0000 https://enlawfoundation.org/?p=8929 The post Land Bridge Effect appeared first on มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม - EnLAW.

]]>

The post Land Bridge Effect appeared first on มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม - EnLAW.

]]>
https://enlawfoundation.org/land-bridge-effect-2/feed/ 0
แลนด์บริดจ์ (Land Bridge) คือ อะไร? https://enlawfoundation.org/what-is-land-bridge/ https://enlawfoundation.org/what-is-land-bridge/#respond Sun, 03 Aug 2025 05:57:18 +0000 https://enlawfoundation.org/?p=8887 โครงการยักษ์ใหญ่ถมทะเล สร้างท่าเรือ ทำลายพื้นที่สีเขียว […]

The post แลนด์บริดจ์ (Land Bridge) คือ อะไร? appeared first on มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม - EnLAW.

]]>
โครงการยักษ์ใหญ่ถมทะเล สร้างท่าเรือ ทำลายพื้นที่สีเขียว

แลนด์บริดจ์ (Land Bridge) เป็นโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง เพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้เชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทย และอันดามัน ที่คาดหมายว่าจะเป็นเส้นทางเลือกในการขนส่งสินค้าทางทะเลนอกเหนือจากการขนส่งสินค้าผ่านช่องแคบมะละกา เพื่อให้ไทยกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์ในการขนส่งคมนาคมของเอเชีย

จึงมีชื่อว่า “โครงการแลนด์บริดจ์ชุมพร – ระนอง” ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบกรอบแนวคิดการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (Southern Economic Corridor : SEC) ในพื้นที่จังหวัดชุมพร ระนอง สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช ตั้งแต่ปี 2561 ภายใต้โครงการนี้มี 3 โครงการใหญ่ต่อเนื่อง โดยมีระยะทางรวม 109 กิโลเมตร ประกอบด้วย

  1. โครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกระนอง-ชุมพร
  2. โครงการก่อสร้างทางรถไฟรางคู่ ช่วงชุมพร-ท่าเรือน้ำลึกระนอง
  3. โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (Motorway)

ภายใต้เมกะโปรเจ็คนี้ กระทรวงคมนาคมได้มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ศึกษาความเหมาะสม คาดหมายได้ว่าโครงการนี้จะสร้างผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของชุมชนในพื้นที่ดังกล่าวอย่างมาก ซึ่งในช่วงปี 2567-2568 เป็นช่วงของการทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (Environmental Health Impact Assessment : EHIA) ของ สนข.

 

1.ชุดโครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกระนอง-ชุมพร

ซึ่งท่าเรือน้ำลึกขนาดใหญ่ที่จะต้องก่อสร้างขึ้นมีจำนวน 2 โครงการ ได้แก่

ท่าเรือน้ำลึกแหลมริ่ว จ.ชุมพร คลอบคลุมพื้นที่ 2 อำเภอ 3 ตำบล ได้แก่ ตำบลบางน้ำจืด ตำบลปากน้ำ อ.หลังสวน และตำบลปากตะโก อ.ทุ่งตะโก ซึ่งต้องถมทะเล รวม 5,808 ไร่ และพื้นที่ท่าเทียบเรือ ประมาณ 7,580 ไร่

 สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร

 

ท่าเรือน้ำลึกแหลมอ่าวอ่าง อ.เมือง จ.ระนอง คลอบคลุมพื้นที่ 2 อำเภอ 3 ตำบล ได้แก่ ตำบลราชกรูดและตำบลเกาะพยาม อ.เมืองระนอง และตำบลม่วงกลวง อ.กะเปอร์ จ.ระนอง ซึ่งต้องถมทะเล รวม 6,975 ไร่ และพื้นที่ท่าเทียบเรือ ประมาณ 5,633 ไร่

สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร

 

2.โครงการก่อสร้างทางรถไฟรางคู่ ช่วงชุมพร-ท่าเรือน้ำลึกระนอง

รถไฟรางคู่ เป็นทางรถไฟที่มีราง 2 เส้นวางคู่ขนานกันไปตามแนวเส้นทางรถไฟ สามารถวิ่งสวนกันได้โดยไม่ต้องรอ ซึ่งโครงการนี้ต้องการที่จะสร้างทางรถไฟขนาดราง 1.435 เมตร จำนวน 2 ทาง และอุโมงค์ลอดผ่านภูเขา 3 แห่ง รวมระยะทาง 89.35 กิโลเมตร มีจุดเริ่มต้นอยู่ที่บริเวณแหลมริ่ว ต.บางน้ำจืด อ.หลังสวน จ.ชุมพร และสิ้นสุดโครงการที่บริเวณอ่าวอ่าง ต.ราชกรูด อ.เมืองระนอง จ.ระนอง เพื่อรองรับการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ พื้นที่สำหรับวางท่อขนส่งน้ำมันสำเร็จรูปและก๊าซธรรมชาติแผนการขนส่งและจราจร

 

3. ชุดโครงการทางหลวงพิเศษ ระหว่างเมือง สายชุมพร – ระนอง

เส้นทางถนนทางหลวงเป็นหนึ่งในเส้นทางคมนาคมขนส่งทางบกที่จะเชื่อมท่าเรือน้ำลึกแหลมริ่ว และท่าเรือน้ำลึกแหลมอ่าวอ่าง ระยะทางประมาณ 87.50 กิโลเมตร เป็นถนนมอเตอร์เวย์ (Motorway) ขนาด 6 ช่องทางจราจร ผ่านพื้นที่ 2 จังหวัด ดังนี้

1.จังหวัดชุมพร พาดผ่าน 2 อำเภอ คือ อ.หลังสวน ต.บางน้ำจืด ต.หาดยาย ต.นาขา ต.วังตะกอ อ.เภอพะโต๊ะ ต.ปังหวาน ต.พระรักษ์ ต.พะโต๊ะ ต.ปากทรง

2. จังหวัดระนอง พาดผ่าน อ.เมืองระนอง ต.ราชกรูด ต.ราชกรูด เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ต้องเผชิญกับทั้งโครงการท่าเรือแหลมอ่าวอ่าง และมอเตอร์เวย์

สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร

 

แลนด์บริดจ์ เพื่อใคร?
1.กฎหมาย เปิดไฟเขียวทุกเรื่องให้นักลงทุน

พ.ร.บ.ระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ เป็นกฎหมายที่จะเปิดทางการอนุญาตให้ก่อสร้างโครงการและสาธารณูปโภคต่างๆ สำหรับนายทุนและการก่อสร้างโครงการแลนด์บริดจ์ ให้กลายเป็นพื้นที่อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของไทย โดยปัจจุบันมีร่างจำนวน 4 ฉบับ จากสนข. และพรรคการเมืองต่างๆ อยู่ระหว่างการรอพิจารณา

ร่างพ.ร.บ.SEC จะนำมาใช้ในพื้นที่ภาคใต้ 4 จังหวัดนำร่อง คือ ชุมพร ระนอง สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช และอาจมีการประกาศพื้นที่จังหวัดอื่นๆ เพิ่มในภายหลัง โดยทุกร่างมีเนื้อหาใกล้เคียงกันโดยสาระสำคัญ คือ การเปลี่ยนภาคใต้ให้เป็นไปตามแผนเขตเศรษฐกิจพิเศษ เน้นการส่งเสริมอุตสาหกรรมขั้นสูงและการลงทุนต่างประเทศ เชื่อมโยงการค้าและการขนส่ง และสร้างแรงจูงใจให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนภายในประเทศ โดยคณะกรรมการ SEC มีอำนาจในการซื้อ เช่า เวนคืนที่ดินทุกประเภท เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับนักลงทุนต่างชาติเป็นเจ้าของที่ดินได้ หรือเช่าที่ดินได้นานสุดถึง 99 ปี ยาวนานกว่ากฎหมายปกติ รวมทั้งยกเว้นกฎหมายต่างๆ อย่างน้อย 30 ฉบับ ที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อมให้เดินหน้าสะดวก

 

2. คนใต้ต้องสูญเสียทรัพยากร วิถีชีวิต และอาชีพ

พื้นที่จังหวัดชุมพร และระนอง มีศักยภาพเป็นแหล่งปลูกผลไม้และการประมงของไทย โดยเฉพาะพื้นที่โครงการก่อสร้างมอเตอร์เวย์ เช่น อ.พะโต๊ะ จ.ชุมพร เป็นแหล่งปลูกทุเรียนและพืชเศรษฐกิจ ในปี พ.ศ. 2567 สร้างรายได้กว่า 7,000 ล้านบาท (ข้อมูลจาก: ศูนย์สร้างจิตสำนึกนิเวศวิทยา และเครือข่าย) และในพื้นที่ก่อสร้างท่าเรือแหลมอ่าวอ่าง จ.ระนอง มีความหลากหลายทางชีวภาพระดับโลก สร้างรายได้เฉพาะการท่องเที่ยวปี 2566 รวมกว่า 6,000 ล้านบาท และทะเลเป็นที่ทำกินให้กับชาวประมงพื้นบ้าน สร้างรายได้ในปี 2567 กว่า 500 ล้านบาทต่อปี แต่โครงการแลนด์บริดจ์กำลังจะเปลี่ยนพื้นที่ศักยภาพทางธรรมชาติ แหล่งอาหารและการท่องเที่ยวอันเป็นต้นทุนที่ประเมินมูลค่าไม่ได้ ให้กลายเป็นพื้นที่อุตสาหกรรมซึ่งยังไม่มีความชัดเจนต่อความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ และทำให้เกิดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม รวมถึงวิถีชีวิต การสูญเสียอาชีพของผู้คน

 

3. รัฐแลก 1 ล้านล้านบาทกับมูลค่าความเสียหายที่ไม่อาจประเมินได้

รัฐเตรียมตั้งงบประมาณ 1 ล้านล้านบาทเพื่อใช้ดำเนินโครงการแลนด์บริดจ์แต่ก่อนที่จะใช้งบประมาณจำนวนมหาศาลนั้น จำเป็นต้องประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เห็นว่ามีความคุ้มค่าเพียงพอหรือไม่ โดยศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เคยจัดทำรายงานศึกษาฉบับสมบูรณ์ ได้ผลสรุปว่า “โครงการแลนด์บริดจ์ ไม่มีความเป็นไปได้ทางเศรษฐศาสตร์” หรือไม่คุ้มค่าในการสร้าง เพราะพื้นที่ของโครงการจะกระทบต่อพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ อุทยานแห่งชาติ และพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญ ได้รับการประกาศตามอนุสัญญา Ramsar ซึ่งจะเป็นความเสียหายที่ไม่สามารถประเมินค่าได้และไม่สามารถฟื้นฟูกลับมาได้

https://stop-sec.com/

 

 

The post แลนด์บริดจ์ (Land Bridge) คือ อะไร? appeared first on มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม - EnLAW.

]]>
https://enlawfoundation.org/what-is-land-bridge/feed/ 0
สส. ลงมติท่วมท้น ยกเลิกคำสั่งหัวหน้า คสช. 4/2559 https://enlawfoundation.org/repeal-ncpo-no-4-2016/ https://enlawfoundation.org/repeal-ncpo-no-4-2016/#respond Thu, 24 Jul 2025 16:13:59 +0000 https://enlawfoundation.org/?p=8874 สส. ลงมติท่วมท้น ยกเลิกคำสั่งหัวหน้า คสช. 4/2559 เรื่อง […]

The post สส. ลงมติท่วมท้น ยกเลิกคำสั่งหัวหน้า คสช. 4/2559 appeared first on มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม - EnLAW.

]]>

สส. ลงมติท่วมท้น ยกเลิกคำสั่งหัวหน้า คสช. 4/2559

เรื่องยกเว้นผังเมืองรวมสำหรับกิจการโรงไฟฟ้าและกิจการขยะ

เมื่อวันที่ 23 ก.ค. 68 สภาผู้แทนราษฎรมีการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติยกเลิกประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (บางฉบับ) อันเนื่องมาจากหมดความจำเป็นและไม่เหมาะสมกับกาลปัจจุบัน พ.ศ…. ในวาระที่สอง เพื่อลงมติรายมาตรา

ในการพิจารณาครั้งนี้ มีการลงมติในประเด็นสำคัญเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม คือ ในมาตราที่กำหนดให้มีการ “ยกเลิกคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 4/2559 เรื่อง การยกเว้นการใช้บังคับกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมสำหรับการประกอบกิจการบางประเภท”

ผลสรุปจากการลงมติในครั้งนี้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเกือบทั้งหมด เห็นชอบร่วมกัน “ให้การยกเลิกคําสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 4/2559 มีผลทันทีเมื่อพ.ร.บ.ยกเลิกประกาศ คสช.-คำสั่ง หัวหน้า คสช.ฯ มีผลบังคับใช้”

ทั้งนี้ คำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 4/2559 นี้ ประกาศและบังคับใช้มาตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม 2559 โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวฯ ปี 2557 โดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ในขณะนั้น และมีผลบังคับใช้กับทุกพื้นที่ทั่วประเทศมาจนถึงปัจจุบัน

ผลของคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 4/2559 ทำให้หน่วยงานรัฐสามารถอนุญาตให้ตั้งโรงไฟฟ้าและโรงงานคัดแยกฝังกลบหรือรีไซเคิลขยะบางประเภทได้ โดยได้รับยกเว้นไม่ต้องพิจารณาข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินตามกฎหมายผังเมือง ส่งผลให้นับตั้งแต่ปี 2559 มีโรงไฟฟ้าและโรงงานขยะเกิดขึ้นใหม่ในหลายพื้นที่ แม้ว่าเดิมพื้นที่นั้นอาจถูกกำหนดไว้ตามผังเมืองรวมให้เป็นพื้นที่สีเขียว เขตเกษตรกรรม หรือเขตชุมชนที่มีข้อกำหนดห้ามตั้งโรงไฟฟ้าและโรงงานขยะ  

การออกคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 4/2559 เพื่อยกเว้นกฎหมายผังเมืองดังกล่าว จึงเป็นการลดทอนมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมเชิงพื้นที่ที่สำคัญและทำลายหลักประกันสิทธิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน ซึ่งที่ผ่านมาเครือข่ายภาคประชาชนได้พยายามสะท้อนปัญหาและเรียกร้องให้มีการยกเลิกคำสั่งหัวหน้า คสช. ฉบับนี้มาโดยตลอด

หนึ่งในความพยายาม คือการยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองสูงสุดของเครือข่ายภาคประชาชน 8 จังหวัดเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2559 เพื่อให้ศาลตรวจสอบความไม่ชอบด้วยกฎหมายและพิพากษาเพิกถอนคำสั่ง แต่ศาลปกครองสูงสุดในคดีดังกล่าวมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณา โดยให้เหตุผลว่าการออกคำสั่งหัวหน้า คสช. ดังกล่าว อาศัยอำนาจโดยตรงตามรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 มาตรา 44 ที่บัญญัติให้ถือว่าการใช้อำนาจชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญและเป็นที่สุด ศาลปกครองสูงสุดจึงไม่อาจรับคำฟ้องไว้พิจารณาเพื่อควบคุมตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของคำสั่งดังกล่าวได้

ข้อเท็จจริงในปัจจุบัน พบว่ามีการตั้งโรงงานหรือกิจการที่เกี่ยวข้องการผลิตพลังงาน และการจัดการขยะของเสียสิ่งปฏิกูลต่างๆ เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก ซึ่งหลายกรณีเป็นกิจการที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ไม่เหมาะสมและไม่ได้มีมาตรการป้องกันผลกระทบที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ วิถีชีวิต และสิ่งแวดล้อม ที่ดีเพียงพอ ก่อให้เกิดมลพิษปนเปื้อนลงสู่สิ่งแวดล้อมและกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนในหลายพื้นที่ อันเป็นผลเกี่ยวเนื่องโดยตรงจากการมีคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 4/2559

The post สส. ลงมติท่วมท้น ยกเลิกคำสั่งหัวหน้า คสช. 4/2559 appeared first on มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม - EnLAW.

]]>
https://enlawfoundation.org/repeal-ncpo-no-4-2016/feed/ 0
มอแกน: อควาแมนแห่งทะเลระนอง https://enlawfoundation.org/world-oceans-day-moken/ https://enlawfoundation.org/world-oceans-day-moken/#respond Mon, 09 Jun 2025 04:14:27 +0000 https://enlawfoundation.org/?p=8808 มอแกน: อควาแมนแห่งทะเลระนอง ความกว้างใหญ่และกว้างขวางขอ […]

The post มอแกน: อควาแมนแห่งทะเลระนอง appeared first on มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม - EnLAW.

]]>
มอแกน: อควาแมนแห่งทะเลระนอง
 
ความกว้างใหญ่และกว้างขวางของมหาสมุทร เต็มไปด้วยเรื่องราวของทั้งสิ่งไม่มีชีวิต และสิ่งมีชีวิตหลากหลายสายพันธุ์แน่นอนว่าชีวิตของมนุษย์เองก็เป็นหนึ่งในเรื่องราวที่เชื่อมโยงกับท้องทะเล ในวันมหาสมุทรหรือวันทะเลโลก World Oceans Day ปี 2025 นี้ ความเชื่อมโยงของทะเลและมนุษย์จึงถูกหยิบยกมาเป็นประเด็นสำคัญภายใต้แนวคิด การรักษาความมหัศจรรย์ของท้องทะเลให้คงอยู่ไว้อย่างยั่งยืน” (Wonder: Sustaining What Sustains Us) กล่าวคือ ความมหัศจรรย์นี้คือความอุดมสมบูรณ์ของท้องทะเล และชีวิตมนุษย์เองต้องพึ่งพาอาศัยความอุดมสมบูรณ์ของท้องทะเลในการดำรงชีวิต
 

เช่นเดียวกันกับวิถีชีวิตของคนผู้คนที่อาศัยอยู่ในจังหวัดระนอง บริเวณอ่าวระนอง และกระจายตัวตั้งถิ่นฐานอยู่บนเกาะเล็กๆ 3 เกาะ คือ เกาะเหลา เกาะช้าง และเกาะพยาม ผู้คนดังกล่าวคือกลุ่มชาติพันธุ์มอแกน ผู้ซึ่งมีวิถีชีวิตผูกพันอยู่กับท้องทะเลมาอย่างยาวนานตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ แต่เดิมชาวมอแกนไม่ได้มีที่อยู่แบบปักหลักอาศัยเหมือนดังในปัจจุบัน นับตั้งแต่ พ.ศ.​ 2555 หลังเหตุการณ์สึนามิ  พวกเขามีบ้านเรือนที่ทำมาจากไม้ในลักษณะยกสูง ทำให้ชาวมอแกนในปัจจุบันมีวิถีชีวิตแบบปักหลักมากขึ้น เราจึงพบเห็นหมู่บ้านเล็กๆ ของพวกเขาตั้งอยู่บนเกาะทั้ง 3 เกาะดังกล่าว เป็นบ้านที่ล้อมรอบไปด้วย ‘ออแกน’

ออแกน

ในภาษามอแกน ‘ออแกน’ มีความหมายว่าทะเล สำหรับชาวมอแกนแล้วทะเล คือ ชีวิต ถ้าไม่มีทะเลพวกเขาจะอยู่อย่างลำบากและอาจอยู่ไม่ได้เลย เด็กหนุ่มชาวมอแกนคนหนึ่ง กล่าวว่า 

 “ทะเลคือทุกอย่างสำหรับพวกเขา”

ตั้งแต่เกิดมาพวกเขาก็อยู่กับทะเลมาโดยตลอด การอาศัยอยู่บนบ้านที่ปักหลักบนเกาะนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตของชาวมอแกนที่เพิ่งมีเมื่อไม่นานหลังเหตุการณ์สึนามิ แต่วิถีชีวิตดั้งเดิมของพวกเขาส่วนใหญ่แล้วนั้นอาศัยอยู่ในทะเลเป็นหลัก ซึ่งทุกวันนี้วิถีชีวิตแบบนี้ก็ยังคงมีอยู่ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ไม่มีมรสุม การใช้ชีวิตอาศัยอยู่ในทะเลของชาวมอแกนจึงถือเป็นวิถีชีวิตประจำวันของพวกเขา

อุยกะโจ้ย

‘ชีวิต’ หรือที่ชาวมอแกนเรียกว่า ‘อุยกะโจ้ย’ นั้นมีความผูกพันอยู่กับท้องทะเล ทำให้พวกเขามีความเชี่ยวชาญอย่างมากในการว่ายน้ำและดำน้ำ โดยเด็กๆ ชาวมอแกนส่วนใหญ่เริ่มว่ายน้ำเป็นกันตั้งแต่อายุ 4-5 ขวบ ด้วยวิธีการเรียนรู้ด้วยตัวเองผ่านความคุ้นเคยกับน้ำทะเล ทำให้ชาวมอแกนมีความสามารถอย่างมากในการว่ายน้ำ ละดำน้ำลึก ผู้ใหญ่ชาวมอแกนบางคนสามารถดำน้ำลึกได้โดยที่ไม่ต้องใช้อุปกรณ์หรือตัวช่วยใดๆในความลึกถึง 30 เมตร ในขณะที่วัยรุ่นมอแกนส่วนใหญ่ดำได้ลึกอยู่ที่ 5-6 เมตร โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์ใดๆ หากใช้หน้ากากออกซิเจนช่วยก็จะทำให้พวกเขาดำได้ลึกถึง 30 เมตร และดำอยู่ใต้ท้องทะเลได้นานถึง 2-3 ชั่วโมง ในขณะที่เด็กๆ มอแกนก็สามารถดำน้ำได้เช่นกัน แต่อาจจะไม่ดำได้ลึกมากเท่ากับผู้ใหญ่และวัยรุ่น

ความสามารถ ความเชี่ยวชาญ และความผูกพันกับท้องทะเล ทำให้ชาวมอแกนมีวิถีชีวิตแบบพึ่งพาทะเลมาตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน ในปัจจุบันชาวมอแกนยังคงมีวิถีชีวิตอาศัยอยู่ในทะเลด้วยการอยู่ในเรือตั้งแต่ตื่น กิน หาเลี้ยงชีพ และนอน ‘ออแกน’ หรือ ทะเล จึงยังคงเป็นหนึ่งเดียวกันกับชีวิตของชาวมอแกน

ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบันการยังชีพด้วยการหาสัตว์ทะเลนั้นเป็นภูมิปัญญาหนึ่งของชาวมอแกนที่ถูกส่งต่อมารุ่นสู่รุ่น ชีวิตของพวกเขาในจังหวัดระนองจากทั้ง 3 เกาะ คือ เกาะเหลา เกาะช้าง และเกาะพยาม ประมงจึงเป็นอาชีพหลักที่เลี้ยงชีพพวกเขา ด้วยการใช้เรือที่มีอยู่ออกไปหากุ้ง หอย ปู ปลา ชนิดต่างๆ และนำไปขายให้กับคนที่รับซื้อ

ความมหัศจรรย์ของท้องทะเลระนอง

เมื่อให้ชาวมอแกนจากทั้ง 3 เกาะกล่าวถึงตำแหน่งแห่งที่ที่สำคัญต่อการหล่อเลี้ยงอาชีพและชีวิตของพวกเขา ทุกคนต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าต้องเป็นที่ ‘บางกล้วย’ หรือ ‘ท่ากลาง’ หรือ ‘ดอนตาแพ้ว’ ทั้ง 3 ชื่อนี้เป็นที่เดียวกัน แต่จะเรียกต่างกันออกไปตามแต่ละท้องที่ ในชาวมอแกนจะเรียกหรือรู้จักที่นี่กันในชื่อบางกล้วย โดยชาวมอแกนเล่าว่า การไปหาสัตว์ทะเลที่นี่จะไม่กลับมามือเปล่าอย่างแน่นอน เพราะจุดดังกล่าวมีความอุดมสมบูรณ์เป็นอย่างมาก หากันมาชั่วอายุคนแล้วความอุสมบูรณ์ตรงนี้ก็ยังคงมีอยู่ ไม่เพียงแค่กลุ่มของชาวมอแกนที่นับว่าตรงนี้เป็นแหล่งทำกินสำคัญของพวกเขา แต่ประมงกลุ่มอื่นจากเกาะรอบๆ ในบริเวณนั้นต่างก็ใช้ความสมบูรณ์จากจุดนั้นในการหล่อเลี้ยงชีวิตมาชั่วอายุคนแล้วเช่นกัน

6,975 ไร่: ความมหัศจรรย์ที่กำลังจะหายไปตลอดกาล

โครงการท่าเรือน้ำลึกอ่าวอ่าง เป็นหนึ่งในโครงการแลนด์บริดจ์ (Land Bridge) ที่รัฐบาลกำลังเดินหน้าผลักดันและรออนุมัติเข้าสู่สภา หากโครงการท่าเรือน้ำลึกอ่าวอ่างนี้เกิดขึ้น จะมีต้องการถมทะเลจำนวน 6,975 ไร่ เพื่อสร้างท่าเรือไว้รองรับการขนส่งสินค้า ขณะเดียวกันพื้นที่ที่จะถมทะเลดังกล่าวกลับกลายเป็นจุดเดียวกันกับพื้นที่หล่อเลี้ยงชีวิตของชาวมอแกนและประมงในเกาะบริเวณใกล้เคียง แม้ว่าโครงการนี้กำลังรออนุมัติเข้าสภา แต่เมื่อเข้าไปพื้นที่กลับพบว่า ชาวมอแกนและชาวประมงกลุ่มอื่น ๆ ไม่ได้ทราบถึงรายละเอียดตรงนี้มากพอว่า ท่าเรือที่กำลังจะสร้างนั้นเป็นจุดเดียวกันกับแหล่งทำมาหากินที่อุดมสมบูรณ์ของพวกเขา แน่นอนว่าหากมีการถมทะเลจำนวน 6,975 ไร่ เกิดขึ้นพื้นที่ดังกล่าวจะหายไปตลอดกาล เมื่อทราบถึงข้อมูลตรงนี้ชาวมอแกนหลายคนถึงกับพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า

หากที่ตรงนั้นหายไป เราก็จะตายกัน”

เราจะลำบากกันหมด”

เราจะไม่มีที่ทำมาหากิน”

เสียงสะท้อนของชาวมอแกนจากเกาะเหลา เกาะช้าง เกาะพยาม จังหวัดระนอง

ความผูกพัน ความเชื่อมโยง การพึ่งพาอาศัยท้องทะเลของชาวมอแกน เป็นหนึ่งในเรื่องราวที่สะท้อนให้เห็นถึงความมหัศจรรย์ของท้องทะเลที่เป็นทั้งบ้าน แหล่งทำมาหากิน และเป็นส่วนหนึ่งในการดำรงชีวิตของมนุษย์ หากท้องทะเลสูญเสียความหลากหลาย สูญเสียความอุดมสมบูรณ์ไปตลอดกาลอย่างที่กำลังจะเกิดจากในพื้นที่จังหวัดระนอง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเราจะสูญเสียแค่ท้องทะเล หากยังสะท้อนให้เห็นว่ามนุษย์อยู่ร่วมกับท้องทะเลมาอย่างยาวนาน ถ้าพื้นที่ทางทะเลที่เป็นทั้งบ้าน ภูมิปัญญา แหล่งทำมาหากิน ได้ถูกทำลายไป นั่นก็เท่ากับว่าวิถีชีวิตของมนุษย์ที่เชื่อมโยงและผูกพันกับท้องทะเลเองก็กำลังถูกสั่นคลอนไปเช่นกัน

อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการแลด์บริดจ์และผลกระทบ  https://enlawfoundation.org/wp-content/uploads/2025/02/LandBridge-Effect-Ebook.pdf

อ้างอิงข้อมูลจาก

Oceanic.global (2025). “UN World Oceans Day ” สืบค้น 4  มิถุนายน 2025 จาก https://oceanic.global/project/united-nations-world-oceans-day-2025/

 

The post มอแกน: อควาแมนแห่งทะเลระนอง appeared first on มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม - EnLAW.

]]>
https://enlawfoundation.org/world-oceans-day-moken/feed/ 0
เมื่อกฎหมายทำลายความหลากหลายทางชีวภาพ https://enlawfoundation.org/international-day-for-biological-diversity-2025/ https://enlawfoundation.org/international-day-for-biological-diversity-2025/#respond Thu, 22 May 2025 09:25:45 +0000 https://enlawfoundation.org/?p=8793 22 พฤษภาคม วันสากลแห่งความหลากหลายทางชีวภาพ ระบบนิเวศขอ […]

The post เมื่อกฎหมายทำลายความหลากหลายทางชีวภาพ appeared first on มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม - EnLAW.

]]>

22 พฤษภาคม วันสากลแห่งความหลากหลายทางชีวภาพ

ระบบนิเวศของโลกถูกประกอบสร้างมาจากความจำเพาะและแตกต่างของสภาพแวดล้อมในทุกพื้นที่ทั่วมุมโลก  ความแตกต่างดังกล่าวรังสรรค์ให้เกิดความหลากหลายทางชนิดพันธุ์และพันธุกรรมของสิ่งชีวิตและธรรมชาติ  ตลอดจนมีความสำคัญและสัมพันธ์กันกับวิธีการดำเนินชีวิตของมนุษย์ ความเชื่อมโยงที่ก่อร่างมาจากความหลากหลายของสิ่งต่างๆในลักษณะนี้เราเรียกมันว่า “ความหลากหลายทางชีวภาพ”

จากการเล็งเห็นถึงความสำคัญของความหลากหลายทางชีวภาพของคณะกรรมการชุดที่สองของสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติทำให้มีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ (Convention on Biological Diversity: CBD) เกิดขึ้นและมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม ค.ศ.1992 ต่อมาในวันที่ 29 ธันวาคม ค.ศ. 2000 องค์กรสหประชาชาติได้ประกาศให้วันที่ 22 พฤษภาคม ของทุกปี เป็น”วันสากลแห่งความหลากหลายทางชีวภาพ (International Day for Biological Diversity: IDB)” เพื่อรำลึกถึงและตระหนักถึงอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพดังกล่าว โดยประเทศที่เป็นภาคีต่ออนุสัญญานี้จะต้องให้ความร่วมมือในการดำเนินการ เช่น ออกนโยบาย แผนปฏิบัติการด้านความหลากหลายทางชีวภาพระดับชาติ มาตรการ เพื่อให้บรรลุเป้าตามแนวทางของอนุสัญญาในการอนุรักษ์และคุ้มครองความหลากหลายทางชีวภาพ และในแต่ละปีจะมีการกำหนดประเด็นเพื่อรณรงค์แตกต่างกันไป โดยในปี 2025 นี้ขับเคลื่อนภายใต้ประเด็น“ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับธรรมชาติและการพัฒนาอย่างยั่งยืน” (Harmony with nature and sustainable development) 

สำหรับประเทศไทยเรานั้นได้ลงนามเข้าร่วมเป็นภาคีในอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2004 ถือได้ว่าเป็นสมาชิกลำดับที่ 188  โดยมีสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) เป็นหน่วยงานในการดำเนินการให้ประเทศไทยบรรลุเป้าตามอนุสัญญา ขณะเดียวกันในปี 2025 นี้ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมก็ได้มีการจัดทำแผนปฏิบัติการด้านความหลากหลายทางชีวภาพระดับชาติ พ.ศ. 2566-2570 เป็นแผนหลักในการดำเนินการให้สอดคล้องกับอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพที่ได้ลงนามไว้ 

ในขณะเดียวกันแม้ว่าไทยจะลงนามไว้ในอนุสัญญาดังลก่าว แต่ถึงอย่างนั้นรัฐบาลของไทยเองกลับมีความพยายามผลักดันกฎหมายที่มีสุ่มเสี่ยงต่อการลดความหลากหลายทางชีวภาพ จากความพยายามของรัฐบาลที่มีความต้องการเร่งรัดการพัฒนาที่มุ่งเน้นการลงทุนด้านเศรษฐกิจ “ระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้” (Southern Economic Corridor: SEC) ที่คาดการณ์ว่าจะถูกประกาศใช้ภายในปี พ.ศ. 2568  ในพื้นที่เป้าหมาย 4 จังหวัด คือ นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี  ชุมพร และระนอง และสามารถประกาศเพิ่มจังหวัดอื่นๆ ในพื้นที่ภาคใต้ได้ภายหลัง นอกจากนี้ร่างกฎหมายดังกล่าวยังกำหนดให้มี “คณะกรรมการ” ที่มีอำนาจตามกฎหมายสูงสุด โดยมีอำนาจพิเศษหลายประการ เช่น มีอำนาจเปลี่ยนผังเมือง สามารถยกเลิกกฎหมายเดิมที่อาจขัดขวางหรือเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินงานในเขตเศรษฐกิจได้ เปิดโอกาสให้กลุ่มทุนต่างชาติสามารถเข้ามาลงทุน เป็นต้น กล่าวได้ว่ากฎหมายนี้มุ่งเน้นให้เศรษฐกิจเติบโตเป็นหลัก  เน้นวัดความสำเร็จจากการเติบโตของตัวเลขตาม GDP

อาจเป็นรูปภาพของ 1 คน และ ข้อความพูดว่า "ร่างกฎหมายระเบียงเขตเศรษๆูกิจติเ ริเริ่มจากการนำแนวคิด ภาคใต้ ใต้ เขตเศรษฐกิจพิเศษ ที่ต้องการให้เศรษุกจเติบโดเป็ เน้นวัดความสำเร็จจาก GDP แต่มักเกิดปัญหาต่างๆในพื้นที่ตาม แนาคิดนี้ถูกนำมาปรับใช้ในรัฐบา พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนโยบายปรากฎ อยู่ในแผนแม่บทภายใต้ ยุทธศาสตร์ชาติ 20 พ.ศ. 2561 2580 บุทยศาสตร์ชาติ A- ชุมพร Tb म ระบอง 20 กันยายน 2565 กำหนดพืนที จ.ชุมพร ระนอง สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช เป็นระเบียงเบตเศรษฐกิจติศษภาคใ สุราษฎร์ธานี เกิดร่าง ดร่างนระ.บ.หรือร่างกฏหมายระเบียงเ ะเบียงเขต เศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (Southern Economic Corridor: SEC) ตามมา นครศรีธรรมราช"

ขณะเดียวกัน ร่างกฎหมายฉบับนี้ยังเป็นกฎหมายที่เปิดทางให้กับโครงการแลนด์บริดจ์ (Land Bridge) ที่ประกอบด้วย โครงการท่าเรือน้ำลึกเชื่อมทะเลอันดามันและอ่าวไทย ในพื้นที่จังหวัดชุมพร และระนอง โครงการมอเตอร์เวย์ และทางรถไฟ ซึ่งยังเป็นโครงการที่ถูกตั้งคำถามถึงความคุ้มค่าต่อการลงทุน การมีส่วนร่วมของประชาชน การประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่เป็นไปอย่างครอบคลุม รวมถึงเป็นการพัฒนาที่ไม่อาจตอบโจทย์การพัฒนาชีวิตของผู้คนในพื้นที่ที่พวกเขาไม่ได้เป็นผู้กำหนด  

อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยได้มีประกาศใช้กฎหมายในลักษณะนี้มาแล้ว ตามพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2561 ในพื้นที่ภาคตะวันออก ได้แก่ จังหวัดระยอง ชลบุรี ฉะเชิงเทรา ให้เป็นพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) จากการประกาศใช้กฎหมายพิเศษในพื้นที่ 3 จังหวัดนี้ ทำให้เกิดการทำลายความหลากหลายทางชีวภาพเป็นอย่างมาก นำไปสู่ระบบนิเวศที่เสียหายยากที่จะฟื้นฟูให้กลับมาเป็นดังเดิม ดังที่เกิดขึ้นใน “พื้นที่ชุ่มน้ำปากแม่น้ำบางปะกง” อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งที่นี่มีลักษณะเป็นนิเวศสามน้ำ

เมื่อน้ำจืด น้ำเค็ม น้ำกร่อย มาบรรจบกัน กลายเป็นนิเวศสามน้ำ ในบริเวณนี้จึงมีลักษณะเฉพาะในด้านตะกอนดินและธาตุอาหาร ระบบน้ำขึ้นน้ำลง รวมทั้งน้ำทั้ง 3 ประเภทที่ไหลมารวมกัน   ซึ่งทำให้บริเวณพื้นที่ดังกล่าวมีหลากหลายทางชีวภาพ ส่งผลให้ระบบนิเวศในบริเวณนี้มีความอุดมสมบูรณ์สูง เป็นทั้งแหล่งวางไข่ แหล่งอนุบาลทั้งของสัตว์น้ำจืดและน้ำทะเล มีพันธุ์พืชหลากหลายชนิด ตลอดจนเป็นแหล่งทำมาหากิน แหล่งประกอบอาชีพสร้างรายได้ให้กับคนในพื้นที่  คนในพื้นที่ส่วนใหญ่จึงมีอาชีพเป็นเกษตรกรและประมง 

แต่ภายหลังการประกาศใช้กฎหมายดังกล่าว ทำให้เกิดการยกเลิกผังเมืองเดิม คือ ผังเมืองเพื่อประโยชน์ใช้สอยทางการเกษตร เปลี่ยนไปเป็นผังเมืองเพื่อประโยชน์ทางอุตสาหกรรมตามกฎหมายพิเศษซึ่งถูกกำหนดขึ้นมาภายหลัง และเกิดการขยายตัวของพื้นที่อุตสาหกรรมในเขตเศรษฐกิจพิเศษ ปัญหาการลักลอบทิ้งขยะ โรงงานระเบิด ที่ก่อให้เกิด ปัญหามลพิษรั่วไหลและปนเปื้อนสู่สิ่งแวดล้อม จึงทำให้สภาพจากพื้นที่บริเวณปากแม่น้ำบางปะกงถูกแปรสภาพจากเดิมทีเป็นการใช้ประโยชน์ที่ดิน “เพื่อการทำเกษตร” กลับกลายเป็น “พื้นที่เพื่อการทำอุตสาหกรรม” ที่ไม่เพียงแค่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม หากรวมถึงระบบนิเวศที่มีความหลากหลายลดลง วิถีชีวิตแหล่งทำมาหากินของผู้คนในพื้นที่เองก็ค่อยๆสั่นคลอน และหายไปตามสภาพพื้นที่ที่เปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน 

อย่างไรก็ตาม พื้นที่ปากแม่น้ำบางปะกงเป็นแค่ส่วนหนึ่งของการสูญเสียความหลากหลายทางระบบนิเวศที่มีความจำเพาะ แต่ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกยังมีทรัพยากรธรรมชาติและระบบนิเวศอื่นที่ถูกทำลายอยู่จนถึงปัจจุบัน รวมไปถึงชีวิตของผู้คนเองก็ได้รับความเดือดร้อนจากการที่ระบบนิเวศเหล่านี้ถูกทำลายด้วยเช่นกัน ทั้งปัจจุบันมีความพยายามในการขยายพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกไปสู่จังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพพื้นที่เป็นผังเมืองสีเขียว ทำให้การใช้ประโยชน์ที่ดินเหมาะแก่การทำเกษตร มีทรัพยากรธรรมชาติอย่าง ดิน น้ำ อากาศที่อุดมสมบูรณ์ เกษตรกรในพื้นที่สร้างรายได้จากการเกษตรอินทีย์ได้เป็นอย่างดี จากบทสัมภาษณ์ของคุณสมทร คมคาย รองประธานกลุ่มสหกรณ์เกษตรอินทรีย์จังหวัดปราจีนบุรี  ในบทสัมภาษณ์ในเว็บไซต์เทคโนโลยีชาวบ้าน (Technoloyeechaoban) สะท้อนให้เห็นว่า “มูลค่าของการเกษตรที่นี่สามารถสร้างรายได้ให้กับคนในพื้นที่ได้สูงถึงปีละครึ่งล้าน ซึ่งในพื้นที่มีความโดดเด่นจากการทำเกษตรแบบผสมผสาน การปลูกพืชตามฤดูกาลที่พึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติ” การที่พื้นที่ของจังหวัดปราจีนบุรีมีลักษณะโดดเด่นทางการเกษตรดังที่กล่าวมา

ด้าน เครือข่ายปราจีนเข้มแข็งและภาคีเครือข่าย ได้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของผังเมืองสีเขียวเพื่อการเกษตรที่กำลังจะถูกแปรเปลี่ยนไปเป็นผังเมืองสีม่วงเพื่อการทำอุตสาหกรรม ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นและได้ยื่นคัดค้านต่อผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี เพื่อยืนยันและให้ทบทวนว่าจังหวัดปราจีนบุรีไม่ควรเป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่ตกอยู่ภายใต้การใช้กฎหมายพิเศษตามแนวทางเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ด้วยเหตุผลสำคัญในการคัดค้านข้อที่ 3 ว่า

“การบริหารงานในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกภายใต้กฎหมาย EEC ตั้งแต่ปี 2561 ถึงปัจจุบัน ถือเป็นความล้มเหลว โดยเฉพาะประเด็นการควบคุมและจัดการมลพิษ ขยะพิษ และกากอุตสาหกรรมอันตราย ที่ไม่สามารถกำกับควบคุมการจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนกลายเป็นปัญหาเพิ่มหนักขึ้นดังปรากฎเป็นข่าวแทบรายวัน” 

(GreenNews)

หากปล่อยให้กฎหมายที่มีลักษณะที่อาจสร้างความเสี่ยงต่อการทำลายความหลากหลายทางชีวภาพ ที่ส่งผลให้ระบบนิเวศเสียหายรวมถึงวิถีชีวิตของผู้คนได้รับผลกระทบเช่นนี้ ยังคงถูกผลักดันให้เป็นเป้าหมายสำคัญภายใต้วาระการพัฒนาเศรษกิจของประเทศ อย่างที่รัฐบาลกำลังผลักดันให้มีกฎหมายระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ การตั้งคำถามต่อรัฐจึงมีความสำคัญอย่างมาก เพราะการสร้าง “ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับธรรมชาติและการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ให้บรรลุตามเป้าประสงค์ของอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพได้ และการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการด้านความหลากหลายทางชีวภาพระดับชาติ พ.ศ. 2566-2570 จะมีประสิทธิภาพหรือไม่เพียงใด จึงเป็นสิ่งที่รัฐบาลจำเป็นต้องทบทวนการดำเนินนโยบายที่เน้นความเติบโตทางเศรษฐกิจที่ละเลยความหลากหลายทางระบบนิเวศและความมั่นคงของชีวิตผู้คนในพื้นที่นั้น ๆ

ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการหยุดกฎหมายที่ทำลายความหลากหลายทางชีวภาพได้ที่

act.gp/stop-sec

รายการอ้างอิง

พรพนา ก๊วยเจริญ , สรวิศ เหลาเกิ้มหุ่ง, เฉลิมชัย วัดจัง, วศิน พงษ์เก่า. (2567).นาขาวัง:สีผังเมืองและนัยทางนิเวศปากแม่น้ำบางประกง.

กลไกการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร. (2564). “ภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ สืบค้น 20 พฤษภาคม 2568 

ฐานเศรษฐกิจ. (2568). “เจาะร่างพ.ร.บ. SEC คลุม 4 จังหวัดแดนใต้ รับแลนด์บริดจ์ 1 ล้านล้าน สืบค้น 20 พฤษภาคม 2568 

ธาวิดา ศิริสัมพันธ์. (2565). “เกษตรกรปราจีนฯ ทำเกษตรอินทรีย์ ปลูกพืชพื้นบ้าน ผักตามฤดูกาล สร้างรายได้กว่าปีละครึ่งล้าน สืบค้น 20 พฤษภาคม 2568 

Convention on Biological. (2025). “International Day for Biological Diversity – 22 Mayntroduction สืบค้น 20 พฤษภาคม 2568 

GreenNews. (2025). “ภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ” สืบค้น 20 พฤษภาคม 2568 

NG Thai. (2023). “22 พฤษภาคม วันสากลแห่งความหลากหลายทางชีวภาพ (International Biodiversity Day)”สืบค้น 19 พฤษภาคม 2568 

Thenicebrand. (2568). “ความหลากหลายทางชีวภาพ 2025 “อยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างกลมกลืน เพื่ออนาคตที่ยั่งยืน”สืบค้น 19 พฤษภาคม 2568.

 

 

 

 

The post เมื่อกฎหมายทำลายความหลากหลายทางชีวภาพ appeared first on มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม - EnLAW.

]]>
https://enlawfoundation.org/international-day-for-biological-diversity-2025/feed/ 0
Land Bridge เพื่อ(คน)ไทย หรือ เพื่อใคร? https://enlawfoundation.org/lan-bridge-benefiting-thais-or-whom/ https://enlawfoundation.org/lan-bridge-benefiting-thais-or-whom/#respond Thu, 03 Apr 2025 09:20:21 +0000 https://enlawfoundation.org/?p=8773 https://www.youtube.com/watch?v=oWujQ-co3ksLand Bridge […]

The post Land Bridge เพื่อ(คน)ไทย หรือ เพื่อใคร? appeared first on มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม - EnLAW.

]]>
Land Bridge เพื่อ(คน)ไทย หรือ เพื่อใคร?
โครงการแลนด์บริดจ์ ที่รัฐบาลต้องการทุ่มเงินลงทุน 1 ล้านล้านบาท เพื่อเปลี่ยนพื้นที่ชุมพร – ระนอง
เป็น 3 โครงการ 1. ท่าเรือน้ำลึกชุมพร – ระนอง 2. ถนนมอเตอร์เวย์ 3. รถไฟทางคู่เชื่อมอ่าวไทย – อันดามัน โดยหวังให้เป็นศูนย์กลางการเชื่อมพื้นที่ขนส่งสินค้าทางทะเลระหว่างมหาสมุทรอินเดีย และมหาสมุทรแปซิกฟิก
 
 
แต่ โครงการนี้คุ้มค่าแล้วหรือไม่ กับการลงทุนที่ต้องแลกเอาวิถีชีวิตของคนในพื้นที่ สิ่งแวดล้อม ทรัพยากรทางบกและทางทะเล ที่นับวันกลายเป็นสิ่งที่ไม่อาจประเมินค่าได้ โครงการที่เพียงมุ่งเป้าหวังผลตัวเลขในทางเศรษฐกิจ แต่หลงลืมศักยภาพที่มีอยู่และพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของคนในพื้นที่ให้ดียิ่งขึ้น กลับเป็นสิ่งที่รัฐบาลหลับตาไว้ข้างนึง การพัฒนาที่ลืมคนจำนวนมากไว้ข้างหลัง จึงควรถูกตั้งคำถามว่าการพัฒนาโครงการนี้เพื่อคนไทย หรือเพื่อใครกัน 
 
ขอบคุณคลิปจาก The Active ThaiPBS
 
Land Bridge: Benefiting Thais, or whom?
The Thai government proposes a 1 trillion baht Land Bridge project, aiming to develop the Chumphon-Ranong area through three key components: a deep-sea port, a motorway, and a double-track railway connecting the Gulf of Thailand and the Andaman Sea. This initiative seeks to position the region as a pivotal maritime freight center between the Indian and Pacific Oceans.
Yet, the project’s viability is debated. The significant investment raises concerns about the potential disruption to the local populace’s way of life, the environment, and the increasingly precious land and marine ecosystems. A development strategy that prioritizes economic metrics while disregarding existing local assets and the quality of life of its residents suggests a critical oversight. A development that leaves many behind prompts the inquiry: is this project designed to serve the Thai people, or a different set of interests?
Many thanks – The Active ThaiPBS

The post Land Bridge เพื่อ(คน)ไทย หรือ เพื่อใคร? appeared first on มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม - EnLAW.

]]>
https://enlawfoundation.org/lan-bridge-benefiting-thais-or-whom/feed/ 0
บันทึกสังเกตการณ์ชุมนุมปลาหมอคางดำ https://enlawfoundation.org/blackchin-tilapia-observe/ https://enlawfoundation.org/blackchin-tilapia-observe/#respond Fri, 21 Mar 2025 05:45:19 +0000 https://enlawfoundation.org/?p=8759   วันที่ 18 มีนาคม 2568 เครือข่ายประชาชนที่ได้รับผลกระท […]

The post บันทึกสังเกตการณ์ชุมนุมปลาหมอคางดำ appeared first on มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม - EnLAW.

]]>

 

วันที่ 18 มีนาคม 2568 เครือข่ายประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของปลาหมอคางดำ ประมาณ 500 คน จาก 19 จังหวัด ได้เดินทางเข้ามาชุมนุมเพื่อทวงถามและติดตามการแก้ไขปัญหาการระบาดของปลาหมอคางดำ ณ หน้าทำเนียบรัฐบาล จากเดิมที่เคยได้ยื่นหนังสือต่อผู้เกี่ยวข้องเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2568 ต่อ 1. ผู้บริหารบริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) และเครือข่ายเจริญโภคภัณฑ์ และ 2. นายกรัฐมนตรี แต่จนปัจจุบันกลับยังไม่ได้รับคำตอบหรือแนวทางแก้ไขปัญหาการระบาดปลาหมอคางดำแต่อย่างใด แม้จะมีกองทุนการยางแห่งประเทศไทยรับซื้อปลาหมอคางดำแต่สถานการณ์ความรุนแรงของปัญหากลับไม่ได้ลดลง

การชุมนุมครั้งนี้ ทางเครือข่ายประชาชนฯ ได้ดำเนินการแจ้งการชุมนุม ต่อสถานีตำรวจนครบาลดุสิต ตามพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.​ 2558 และได้ทวงถาม 4 ข้อเรียกร้อง ที่เคยยื่นให้รัฐบาลก่อนหน้านี้ ดังนี้

1. ให้คณะรัฐมนตรี แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนอิสระเพื่อสืบสวน สอบสวน หาผู้กระทำความผิด

2. เร่งรัดกำจัดปลาหมอคางดำภายใน 1 ปี พร้อมฟื้นฟูระบบนิเวศ

3. ตั้งคณะกรรมการระดับชาติ ประกาศเขตภัยพิบัติทันที

4. ฟ้องผู้กระทำความผิด เพื่อชดใช้เยียวยา ตามหลักการผู้ก่อมลพิษเป็นรับผิดชอบและเป็นผู้จ่าย (Polluter Pay Principle)

จากการสังเกตการณ์ชุมนุม
เวลาประมาณ 09.00 เครือข่ายฯได้ตั้งขบวนอยู่บริเวณหน้าสำนักงานปฏิรูปที่ดิน

เวลาประมาณ 10.30 เครือข่ายฯได้เคลื่อนขบวนไปยังบริเวณหน้ากระทรวงศึกษาธิการในเวลา ต่อมาเมื่อการเจรจาไม่เป็นผลทางรัฐบาลไม่ได้ส่งตัวแทนฝ่ายบริหารมาเจรจาตามข้อเรียกร้อง เครือข่ายฯจึงเคลื่อนขบวนมายังบริเวณประตู 5 ของทำเนียบรัฐบาลเพื่อเรียกร้องให้นายกฯออกมาเจรจารับข้อเสนอของเครือข่ายฯ

เวลาประมาณ 12.21 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจจากสน.ดุสิต (รองผู้กำกับปราบปราม) ได้อ่านคำสั่งกองบัญชาการตำรวจนครบาลที่ 133/2568 เรื่อง ประกาศห้ามชุมนุมสาธารณะในรัศมีไม่เกินห้าสิบเมตร รอบทำเนียบรัฐบาล ตามมาตรา 7 วรรคท้าย แห่งพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 จากที่เคยขยายระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 8 – 15 มีนาคม 2568 ด้วยเหตุผลว่า การชุมนุมมีแนวโน้มจะเคลื่อนมาปักหลักชุมนุมรอบทำเนียบได้ตลอดเวลา และอาจก่อให้เกิดความเดือดร้อนกับประชาชนผู้สัญจรบนท้องถนน และกีดขวางทางเข้าออกทำเนียบรัฐบาลที่ส่งผลต่อการรักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชน
จึงได้ขยายระยะเวลาห้ามชุมนุมสาธารณะในรัศมีไม่เกินห้าสิบเมตรรอบทำเนียบรัฐบาล ตั้งแต่วันที่ 16 – 22 มีนาคม 2568 โดยมีคำสั่งให้แก้ไขการชุมนุมโดยย้ายไปชุมนุมบริเวณเกาะกลางถนนหน้า UN ภายในเวลา 12.45

เวลาประมาณ 13.00 น.รองผู้กำกับปราบปราม สน.ดุสิตประกาศให้ผู้ชุมนุมแก้ไขการชุมนุมโดยให้ย้ายการชุมนุมไปยังเกาะกลางถนนหน้า UN ภายในเวลา 13.15 ประกาศเป็นครั้งที่สอง จากนั้นทางเครือข่ายฯได้ ทำกิจกรรมแสดงออกเชิงสัญลักษณ์โดยการเทปลาหมอคางดำบนแผ่นผ้าใบและทำพิธีกรรมเผาพริกเผาเกลือก่อนที่จะยุติการชุมนุม

น่าสังเกตว่า บรรยากาศการชุมนุมเรียกร้องให้มีการแก้ไขปัญหาจากนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานภาครัฐต่อความล่าช้าที่สร้างหายนะจากกรณีการระบาดของปลาหมอคางดำใน 19 จังหวัด มิได้ขัดต่อความปลอดภัยสาธารณะและความสงบเรียบร้อยแต่อย่างใด แต่เป็นไปเพื่อเรียกร้องให้เกิดการแก้ไขปัญหาโดยเร็วก่อนที่จะไม่สามารถหยุดยั้งการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำได้ ประกอบกับ การชุมนุมดังกล่าว เป็นการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 44

 

 

 

 

 

 

The post บันทึกสังเกตการณ์ชุมนุมปลาหมอคางดำ appeared first on มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม - EnLAW.

]]>
https://enlawfoundation.org/blackchin-tilapia-observe/feed/ 0
หรือต้องเอา ป่าเขา เต่าทะเล วิถีชีวิตคนใต้ แลกกับอุตสาหกรรม? https://enlawfoundation.org/land-bridge-effect/ https://enlawfoundation.org/land-bridge-effect/#respond Wed, 12 Mar 2025 09:52:15 +0000 https://enlawfoundation.org/?p=8735 ว่าด้วยข้อมูลผลกระทบจากรายงาน Land bridge Effect “หากกา […]

The post หรือต้องเอา ป่าเขา เต่าทะเล วิถีชีวิตคนใต้ แลกกับอุตสาหกรรม? appeared first on มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม - EnLAW.

]]>

ว่าด้วยข้อมูลผลกระทบจากรายงาน Land bridge Effect

หากการพัฒนาเศรษฐกิจหมายถึงการเดินไปข้างหน้า เราควรแน่ใจว่ามันเป็นก้าวที่มั่นคงไม่ใช่ก้าวที่เหยียบย่ำสิ่งที่เรารักและต้องการรักษาไว้”

 

ข้อความดังกล่าวปรากฏอยู่ในรายงานการศึกษาผลกระทบโครงการท่าเรือน้ำลึกแลนด์บริดจ์ชุมพร – ระนอง Land bridge Effect หนังสือเล่มนี้เป็นการศึกษาผลกระทบของโครงการแลนด์บริดจ์ในหลายมิติ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และกฎหมายระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (Economic Southern Corridors) ซึ่งเป็นกฎหมายที่จะเข้ามาเปิดทางให้เกิดโครงการแลนด์บริดจ์ และเอื้อให้กับการลงทุนจากต่างชาติ แม้ปัจจุบันยังเป็นเพียงร่างพระราชบัญญัติฯ แต่ในรายละเอียดของกฎหมายฉบับนี้กลับให้อำนาจแก่ฝ่ายบริหาร และมีลักษณะขัดกับหลักการรัฐธรรมนูญจนเรียกได้ว่าเป็น Super Law ที่สามารถลบล้างหรือยกเว้นการใช้บังคับกฎหมายฉบับอื่น ๆ ได้ และเอื้อให้กับการลงทุนอุตสาหกรรมกับต่างชาติ กลายเป็น ‘กฎหมายพิเศษสำหรับคนพิเศษ’

โครงการแลนด์บริดจ์ เป็นโครงการของรัฐบาลที่มาดหมายจะปลุกปั้นเชื่อมสองฝั่งทะเลใต้ เพื่อเป็นความหวังในการพลิกเศรษฐกิจมา มาถึง 3 รัฐบาล[1] ด้วยต้องการสร้างท่าเรือน้ำลึกขนาดใหญ่สองฝั่งทะเล และเชื่อมต่อด้วยทางรถไฟและถนนขนส่งพิเศษ เพื่อลดระยะทางเดินเรือและเพิ่มขีดความสามารถทางการค้า แต่ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมถึงวิถีชีวิตของผู้คนภาคใต้ในระยะยาว ยังคงรางเลือน มีเพียงแต่มาตรการป้องกันความเสียหาย จึงมีคำถามที่ดังที่สุดว่า อะไรคือความเสียหายที่ไม่อาจหวนคืน เมื่อโครงการแลนด์บริดจ์ และร่างพระราชบัญญัติเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้จะเกิดขึ้น ?

พื้นที่หล่อเลี้ยงชีวิตที่ไม่อาจประเมินค่าได้ จะถูกสั่นคลอน

โครงการแลนด์บริดจ์ชุมพร – ระนอง เป็นโครงการที่จะประกอบด้วย 3 โครงการ คือ โครงการพัฒนาท่าเรือระนอง ท่าเรือน้ำลึกแหลมริ่ว จังหวัดชุมพร ท่าเรือน้ำลึกอ่าวอ่าง จังหวัดระนอง รถไฟรางคู่ และทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (Motorway) ช่วงท่าเรือชุมพร – ท่าเรือระนอง ที่จะสร้างขึ้นเพื่อรองรับการคมนาคมขนส่งเชื่อมสองฝั่งทะเล

พื้นที่อำเภอพะโต๊ะ จ.ชุมพร เป็นหนึ่งพื้นที่ของการสร้างทางมอเตอร์เวย์ ซึ่งต้องมีที่ดินของชาวบ้านที่จะถูกเวนคืน และข้อห่วงกังวลต่อการแย่งชิงทรัพยากรในพื้นที่

SEC เป็นพื้นที่อุตสาหกรรม สิ่งที่ตามมาคือการแย่งชิงทรัพยากร เส้นทางผ่านคือ พะโต๊ะ หลังสวน ซึ่งเป็นอาชีพเกษตรกรเป็นส่วนใหญ่ สิ่งที่สำคัญสำหรับเกษตรกรก็คือน้ำ และเมื่ออุตสาหกรรมเกิดขึ้นในพื้นที่ก็ต้องใช้น้ำเช่นกัน อุตสาหกรรมก็จะมาแย่งชิงน้ำจากเกษตรของเรา ในปีที่ผ่านมาภาวะภัยแล้ง เกษตรกรแทบมีน้ำไม่พอใช้ และพื้นที่พะโต๊ะ ชุมพร ก็เป็นพื้นที่ต้นน้ำ มีป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ในระดับ 1A เป็นต้นน้ำของแม่น้ำหลังสวน คือ คลองพะโต๊ะ เป็นเส้นเดียวกันที่พาดผ่านจากพะโต๊ะไปหลังสวนเป็นลำน้ำสายหลักที่หล่อเลี้ยง อำเภอตอนล่างของชุมพรคือ อ.พะโต๊ะ อ.หลังสวน อ.ทุ่งตะโก และ อ.ละแม อีกสองอำเภอข้างเคียงก็มีการมาใช้น้ำจากอำเภอพะโต๊ะเช่นกัน หากมีโครงการนี้เกิดขึ้นก็จะกระทบกับอาชีพของเรา”  ธเนศ ทับทิมทอง[2] เครือข่ายรักษ์พะโต๊ะ

สำหรับคนพะโต๊ะเองที่มีแหล่งทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์ ดินดี น้ำดี อากาศดี ปลูกอะไรก็ขึ้น จึงมีเกษตรกรจำนวนมาก และเป็นแหล่งพืชเกษตรที่สำคัญที่สุดคือ ทุเรียน จากการทำข้อมูลพืชเกษตรของจังหวัดชุมพร ในปี 2566 พบว่า จังหวัดชุมพรมีรายได้ทั้งจังหวัดที่ 32,000 ล้านบาท เป็นรายได้ทุเรียนของอำเภอพะโต๊ะ 6,000 ล้านบาท และพะโต๊ะมีรายได้ที่รวมพืชเศรษฐกิจทุกอย่างประมาณ 8,600 ล้านบาท จึงแสดงให้เห็นว่ารายได้ของพะโต๊ะ เป็นเกษตรมูลค่าสูง เป็นแหล่งเกษตรมูลค่าสูงที่ส่งออกทุเรียน และมังคุดที่สำคัญของไทย การเข้ามาของโครงการมอเตอร์เวย์จึงสร้างความกังวลต่อการถูกเวนคืนพื้นที่ของชาวบ้านอย่างมาก เพียงเพราะรัฐต้องการที่จะสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองเชื่อมต่อไปยังโครงการท่าเรือน้ำลึกชุมพร-ระนอง

โครงการท่าเรือน้ำลึก 2 แห่ง คือ 1.ท่าเรือน้ำลึกแหลมริ่ว อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร หากอ่านจากเอกสารจะใช้พื้นที่เพื่อถมทะเล รวม 5,808 ไร่ และพื้นที่ท่าเทียบเรือที่ต้องเตรียมไว้ ประมาณ 7,580 ไร่ และ 2. ท่าเรือน้ำลึกอ่าวอ่าง อำเภอเมือง จังหวัดระนอง ต้องใช้พื้นที่สำหรับการถมทะเล 6,975 ไร่ และท่าเทียบเรือขนาดประมาณ 5,633 ไร่ แต่หากเรามองบนพื้นดิน ทะเล ทางกายภายในพื้นที่ตั้งโครงการ เราจะเห็นชีวิต เลือดเนื้อของผู้คน สิ่งมีชีวิต และสิ่งแวดล้อมในพื้นที่

 

ชีวิต เลือดเนื้อของผู้คน สิ่งมีชีวิต และสิ่งแวดล้อมในพื้นที่

  • พื้นที่ท่าเรือน้ำลึกแหลมริ่ว อ.หลังสวน จ.ชุมพร

พื้นที่ท่าเรือน้ำลึกแหลมริ่ว อ.หลังสวน จ.ชุมพร

พื้นที่บริเวณโดยรอบโครงการท่าเรือน้ำลึกนั้นเป็นพื้นที่เกษตรกรรม มีประชาชนอาศัยอยู่ 2 ตำบล คือ ตำบลบางน้ำจืด และตำบลปากน้ำ ที่จะได้รับผลกระทบจำนวน 7,721 คน ที่มีชุมชนชายฝั่งสำคัญ คือ ชุมชนหาดทองโข ชุมชนประมงแหลมริ่ว ชุมชนริมชายหาดบางน้ำจืด ชุมชนปากน้ำหลังสวน และชุมชนบนเกาะพิทักษ์ที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ประมงพื้นบ้าน และแปรรูปสัตว์น้ำ มีโรงเรียนบางหยี และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบางน้ำจืด ที่อยู่ในรัศมี 1 กิโลเมตรของโครงการ พื้นที่สถานศึกษา โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล และโรงพยาบาลอีก 14 แห่ง รวมถึงชุมชน จำนวน 2,105 หลังคาเรือน ซึ่งอยู่ในรัศมี 5 กิโลเมตรของโครงการรวมสถานที่ที่มีความอ่อนไหวจากโครงการจำนวน 16 แห่ง

ด้านสภาพทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พบว่า บริเวณเกาะพิทักษ์ อยู่ห่างกับพื้นที่โครงการในรัศมี 1 กิโลเมตร ทั้งมีแนวปะการังน้ำตื้นตามธรรมชาติ ประมาณ 13.06 ไร่ เป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำและรักษาสมดุลระบบนิเวศชายฝั่งทะเล จากงานศึกษาชิ้นนี้ยังทำให้ทราบได้ว่า พื้นที่ของอำเภอหลังสวน ในคลองริ่ว คลองหลังสวน ชายหาดและทะเล มีสัตว์น้ำนับร้อยชนิด ได้แก่ ปลา 85 ชนิด ปู 8 ชนิด หมึก 5 ชนิด หอย 7 ชนิด และสัตว์น้ำที่สำคัญต่อนิเวศ เช่น โลมา เต่าตนุ ฉลาม เป็นต้น ซึ่งสามารถสร้างรายได้ให้กับประมงพื้นบ้านฝั่งชุมพร มีรายได้เฉลี่ยครัวเรือนละ 29,450.75 บาทต่อเดือน ซึ่งมีมูลค่าจากการทำประมงพื้นบ้านของครัวเรือนจำนวน 224 ครัวเรือน มากถึง 79,163,616 บาทต่อปี

 

  • พื้นที่ท่าเรือน้ำลึกระนอง แหลมอ่าวอ่าง จ.ระนอง

โครงการท่าเรือน้ำลึกระนอง จะตั้งอยู่บริเวณแหลมอ่าวอ่าง ต่อเนื่องกับพื้นที่ 2 อำเภอ 4 ตำบล คือ ตำบลราชกรูด ตำบลเกาะพยาม อำเภอเมือง ตำบลม่วงกลวง อำเภอกะปอร์ จังหวัดระนอง มีผู้ที่อาจได้รับผลกระทบจำนวน 36,913 คน ซึ่งมีสังคมแบบพหุวัฒนธรรมอาศัยอยู่ร่วมกัน เช่น ชาวเล มอแกน และไทยพลัดถิ่น ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม และการประมง พื้นที่โดยรอบรัศมีโครงการ 5 กิโลเมตร มีชุมชนจำนวน 7 ชุมชน และมีชุมชนชายฝั่งที่ชาวบ้านอาศัยอยู่เกินรัศมีโครงการ 5 กิโลเมตร เช่น ชุมชนหาดทรายดำ ชุมชนบริเวณท่าเรือแหลมสน ชุมชนท่าเรือม่วงกลวง เป็นต้น และมีพื้นที่ความเชื่อความศรัทธาของประชาชนในพื้นที่และประชาชนทั่วที่ตั้งอยู่ในพื้นที่เกาะสน ซึ่งเป็นพื้นที่โครงการเช่นกัน

ด้านฐานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เฉพาะพื้นที่ตำบลราชกรูด ตำบลเกาะพยาม อำเภอเมือง และตำบลม่วงกลวง อำเภอกะเปอร์ มีความสมบูรณ์และมีความหลากหลายทางชีวภาพอย่างมาก จนได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็น “พื้นที่สงวนชีวมณฑลระนอง” (Ranong Biosphere Reserves) และพื้นที่โดยรอบโครงการท่าเรือน้ำลึกระนอง (แหลมไผ่, อ่าวอ่าง) ยังเป็นพื้นที่อนุรักษ์ที่สำคัญ ทับซ้อนกับพื้นที่คุ้มครองทางทะเลและชายฝั่ง คือ “พื้นที่ชุมน้ำปากแม่น้ำกระบุรี-ปากคลองกะเปอร์” และทับซ้อนกับพื้นที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะระนอง รวมถึงอุทยานแห่งชาติแหลมสน ที่มีพื้นที่ชั้นคุณภาพลุ่มน้ำชั้น 1A ที่อยู่ห่างจากโครงการท่าเรือน้ำลึกเพียง 240 เมตร

ดังนั้น ในทางความสำคัญของนิเวศวิทยา พื้นที่ตั้งโครงการท่าเรือน้ำลึกระนองนั้นตั้งอยู่บนพื้นที่ชุ่มน้ำปากน้ำกระบุรี-ปากคลองกะเปอร์ซึ่งเป็นแรมซาร์ไซต์[3] ลำดับที่ 8 ของประเทศไทย และลำดับที่ 1,183 ในทะเบียนพื้นที่ชุมชนที่มีความสำคัญระหว่างประเทศ และเป็นพื้นที่แหล่งอนุรักษ์ทะเลอันดามัน ซึ่งกำลังจะถูกเสนอชื่อขึ้นเป็นทะเบียนแหล่งมรดกโลก ประกอบกับบริเวณรอบเกาะพยาม และรอบเกาะขาม ยังมีแหล่งปะการังน้ำตื้น อีกจำนวนมากที่ยังไม่พบการฟอกขาว เต็มไปด้วยปลาหลากหลายชนิด จะเห็นได้ว่าความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศและความมั่งคั่งของทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งในพื้นที่จังหวัดระนอง เป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนกลไกทางเศรษฐกิจทั้งมิติด้านการประมง การท่องเที่ยว ระบบนิเวศ ที่ทำให้เกิดการจ้างงานรวมถึงธุรกิจต่อเนื่องจากความมั่งคั่งของทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งในพื้นที่

จากการศึกษากิจกรรมเศรษฐกิจของประมงพื้นบ้านริมชายฝั่ง ในพื้นที่จำนวน 2 อำเภอ คือ อำเภอเมือง และอำเภอกะเปอร์ ของกลุ่มตัวอย่าง 105 คน พบว่า มีเรือประมงพื้นบ้าน จำนวน 2,047 ลำ มีรายได้เฉลี่ยครัวเรือน 21,670.85 บาทต่อเดือน และมีมูลค่าการทำประมงพื้นบ้านใน 2 อำเภอของจังหวัดระนอง รวม 559,805,497 บาทต่อปี ทำให้การเข้ามาของโครงการท่าเรือน้ำลึก จึงอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ของประมงพื้นบ้าน ดังคำบอกเล่าของตัวแทนประมงพื้นบ้านว่า

“ถ้ามีท่าเรือน้ำลึกฝั่งระนอง เกิดขึ้น จะลำบาก เพราะว่า ชาวจังหวัดระนองได้หากินในทะเลระนองขุมทองอันดามันในอ่าวแห่งนั้น ก็จะใช้ประมงตลอดทั้งหมด 5 อำเภอ ก็จะมาหาที่ดอนตาแพ้ว เป็นดอนที่ใหญ่ และน้ำขึ้นน้ำลง … มีทั้งปะการัง หญ้าทะเล หลากหลาย อย่างที่เราสรรหาไม่หมด มีปลาหลากหลายที่รู้จักและไม่รู้จัก ชื่อตั้งแต่บรรพบุรุษ แต่ล้วนทั้งรู้จักและไม่รู้จัก ก็มาบริโภคได้ และล้วนแลกเป็นเงินมาเลี้ยงครอบครัวได้” สามารถ นาวาลอย ประมงพื้นบ้านเครือข่ายรักษ์ระนอง[4]

                                         

 

ขณะเดียวกัน จังหวัดระนองจึงเป็นหนึ่งในพื้นที่เปราะบางทางสังคมที่จะได้รับผลกระทบจากโครงการนี้ เพราะมีทั้งกลุ่มชาติพันธุ์ ชาวมอแกน จำนวน 502 คน และคนไทยพลัดถิ่น ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่เข้าไม่ถึงสิทธิขั้นพื้นฐานของรัฐในทุกด้าน และดำรงชีพด้วยการใช้ภูมิปัญญาเพื่อเลี้ยงชีพในท้องทะเลจากรุ่นสู่รุ่นของชาวมอแกน เช่น ความรู้ด้านการเดินเรือ การจับสัตว์น้ำด้วยการฟังเสียป่าใต้น้ำ การสังเกตสภาพภอากาศคลื่นลมทะเล รวมถึงทักษะในการดำน้ำจับสัตว์น้ำที่มีความเป็นเฉพาะตัว ดังนั้น คนกลุ่มนี้จึงเป็นผู้ที่จะได้รับผลกระทบในทางสังคมมากที่สุดกลุ่มหนึ่ง

“ปัญหาของพี่น้องมอแกน พี่น้องไทยพลัดถิ่นก็เจอกันอยู่ทุกวันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะการรักษาพยาบาลที่เข้าไม่ถึง เรื่องการเดินทาง การเรียนหนังสือ เรื่องสิทธิขั้นพื้นฐานทั้งหมด เราเจอปัญหากันอยู่แล้ว พอมีโครงการขนาดใหญ่ กฎหมาย SEC จะเข้ามาในพื้นที่ คนกลุ่มนี้ไม่ได้อยู่ในสมการนั้นเลย เขาไม่ได้พูดถึงคนกลุ่มนี้เลย จะเอายังไงกับคนกลุ่มนี้ แต่อย่าลืมนะว่าคนกลุ่มนี้ เขาก็คน เขาคือคนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ มานานแล้วด้วย ปัญหาเก่ายังไม่ได้แก้ แล้วเอาปัญหาใหม่มาให้พี่น้อง” รสิตา ซุ่ยยัง เครือข่ายรักษ์ระนอง

โครงการแลนด์บริดจ์เกิดไม่ได้ ถ้าไม่มีกฎหมายพิเศษ

“อยากจะย้ำว่า แลนด์บริดจ์ กับSEC คือเรื่องเดียวกัน แลนด์บริดจ์ คือส่วนหนึ่งของการพัฒนา SEC
แต่ถ้ามี SEC จะมีการพัฒนาที่ใหญ่กว่านั้น เพราะว่าเป็นกฎหมายที่เอื้อต่อการลงทุน แน่นอน SEC คือหมุดหมายในการใช้เปิดพื้นที่ การพัฒนาหนึ่งที่เราใช้คือที่ดิน อย่างน้อยเป็นพันๆ ไร่ อันนี้ยังไม่พูดถึงถนนและมอเตอร์เวย์
อีกส่วนหนึ่งคือว่า ทรัพยากรอื่นที่จะต้องมาโจทย์ในการพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นแหล่งน้ำ แหล่งทรัพยากรต่าง ๆ”

สุภาภรณ์ มาลัยลอย มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม

การเกิดขึ้นของโครงการแลนด์บริดจ์ จะเกิดขึ้นไม่ได้หากไม่มีกฎหมายพิเศษให้เปิดทางไว้ ดังนั้น ร่างพระราชบัญญัติระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษ พ.ศ. … (ร่างกฎหมาย SEC) จึงเป็นกฎหมายฉบับสำคัญที่ถูกรัฐบาลเร่งรัดให้หน่วยงานรัฐต้องร่างกฎหมายฉบับดังกล่าว เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2568 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม นางมนพร เจริญศรี แจ้งว่า จะมีการเสนอให้กระทรวงคมนาคมเป็นผู้เสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ในวันที่ 11 มีนาคม 2568 เพื่อพิจารณาและมีมติมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เป็นผู้จัดทำร่าง พ.ร.บ. SEC และจะมีการจัดตั้งคณะกรรมการนโยบายและสำนักงานนโยบายระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (SEC) ต่อไป[5]

นอกจากนี้ความเคลื่อนไหวของรัฐบาล อีกด้านหนึ่งพรรคภูมิใจไทย และพรรคพลังประชารัฐ ก็ได้มีการเสนอร่างพระราชบัญญัติระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ พ.ศ. … จำนวน 3 ฉบับ โดย 1. นายสฤษฏ์พงษ์ เกี่ยวข้อง 2. นายอนุทิน ชาญวีรกูล และ 3. นายอนุชา บูรพชัยศรี ซึ่งปัจจุบันได้ผ่านการจัดรับฟังความคิดเห็นต่อร่างกฎหมายเป็นที่เรียบร้อย

ร่างกฎหมายฉบับนี้จึงเป็นเงื่อนไขสำคัญสำหรับการสร้างโครงการแลนด์บริดจ์ชุมพร-ระนองอย่างปฏิเสธไม่ได้ อย่างไรก็ตาม มีข้อห่วงกังวลต่อร่างกฎหมาย SEC กับประเด็นปัญหาทางกฎหมาย ที่จะกระบทบต่อการหลักการแบ่งแยกอำนาจ ใน 3 ประเด็นหลัก ดังนี้

  1. การรวมอำนาจแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด และการสร้างระบบยกเว้นทางกฎหมายในพื้นที่ SEC การรวบอำนาจตัดสินใจไว้ที่คณะกรรมการนโยบาย ที่ประกอบด้วยคณะรัฐมนตรี ซึ่งมีอำนาจในการพิจารณา อนุมัติ อนุญาต ดำเนินการในกิจการต่างๆ ในพื้นที่ SEC และให้ความเห็นชอบตามกฎหมายอีกหลายฉบับ กฎหมายฉบับนี้ยังเอื้อให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ ด้วยการยกเว้นไม่ต้องบังคับใช้ตามพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ.​ 2562 การยกเว้นการบังคับใช้กฎหมาย การยกเว้นกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ การยกเว้นกฎหมายเกี่ยวกับการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม การยกเว้นสิทธิในการถือครองที่ดินของคนต่างด้าว การยกเว้นกฎหมายว่าด้วยที่ราชพัสดุ การยกเว้นกฎหมายาว่าด้วยคนเข้าเมือง การยกเว้นกฎหมายว่าด้วยศุลกากร การยกเว้นกฎหมายควบคุมเกี่ยวกับการประกอบวิชาชีพ ซึ่งอำนาจดังกล่าวตามกฎหมายนี้ทำให้เกิดการรวมอำนาจแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด และสร้างระบบยกเว้นในทางกฎหมาย เป็นเสมือนกัน Super Law ที่สามารถลบล้างหรือยกเว้นกฎหมายอื่นและแก้รายละเอียดกฎหมายฉบับอื่นได้ด้วย
  1. ปัญหาในทางรัฐธรรมนูญ โดยหลักการทางนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ หลักการแบ่งแยกอำนาจ ถือเป็นพื้นฐานของการบริหารประเทศที่ต้องการให้เกิดระบบตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจของฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ ซึ่งหลักการนี้ได้รับการรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ แต่ร่างกฎหมายฉบับนี้กลับให้อำนาจแก่ฝ่ายบริหารไว้อย่างเบ็ดเสร็จ ผ่านคณะกรรมการนโยบายดังที่ได้กล่าวไปแล้ว ขณะเดียวกันร่างกฎหมายนี้ยังขัดต่อสิ่งที่รัฐธรรมนูญรับรองสิทธิและเสรีภาพเอาไว้หลายประการ เช่น บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการประกอบอาชีพ สิทธิชุมชนในการจัดการทรัพยากรของตน และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม และความหลากหลายทางชีวภาพอย่างสมดุลและยั่งยืน รวมถึงหน้าที่ของรัฐในการอนุรักษ์ฟื้นฟู ศิลปวัฒนธรรม ทรัพยากรธรรมชาติ หรือหน้าที่ของรัฐในการศึกษาและประมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ เป็นต้น
  1. กลไกทางกฎหมายในการตรวจสอบทางรัฐสภา และศาลรัฐธรรมนูญ  ในกรณีที่ร่างกฎหมาย SEC ถูกนำเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาแล้ว ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 148 กำหนดมาตรการในการตรวจสอบความชอบธรรมของกฎหมายว่าต้องเป็นไปโดยที่ไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ซึ่งหากร่างพระราชบัญญัติใดสุ่มเสี่ยงว่าจะขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ ก่อนที่ร่างพระราชบัญญัติฉบับนั้นจะถูกนำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเพื่อพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือสมาชิกของทั้งสองสภารวมกันมีจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา ให้เสนอความเห็นต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานวุฒิสภา หรือประธานรัฐสภา แล้วแต่กรณี แล้วให้ประธานแห่งสภาได้รับความเห็นดังกล่าวส่งความเห็นนั้นไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย หรือหากนายกรัฐมนตรีเห็นว่าร่างกฎหมายน่าจะมีปัญหาไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ก็สามารถส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญได้เช่นกัน

การมีกฎหมายฉบับใดฉบับหนึ่งเกิดขึ้นก็ควรจะเป็นไปเพื่อประโยชน์ของประชาชน ความเป็นอยู่ที่ดี ยั่งยืนของคนในประเทศ มิควรเป็นกฎหมายที่สร้างขึ้นมาและใช้ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม อันเป็นของส่วนร่วมเพื่อคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ทั้งจะทำให้ผลกระทบต่อวิถีชีวิต ที่ไม่อาจจะเยียวยาย้อนคืนให้กลับมาเป็นดังเดิมได้

บทความชิ้นนี้เป็นเพียงข้อมูลส่วนหนึ่งในรายงานการศึกษาผลกระทบโครงการท่าเรือน้ำลึกแลนด์บริดจ์ชุมชร-ระนอง แต่ยังมีอีกหลายประเด็นที่น่าสนใจ ควรค่าแก่การอ่านและทำความเข้าใจของชีวิต เลือดเนื้อ วีถีชีวิตของผู้คน และทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่โครงการท่าเรือน้ำลึกแห่งนี้

อ่านฉบับเต็มได้ที่ รายงานผลกระทบโครงการท่าเรือน้ำลึกแลนด์บริดจ์ชุมพร-ระนอง Land bridge Effect ฉบับเต็ม

 

อ้างอิงข้อมูลจาก:

[1]  1. พ.ศ.​ 2549 รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ได้มีการอนุมัติงบประมาณให้มีการศึกษาความเป็นไปได้และออกแบบโครงการท่าเรือน้ำลึกปากบารา อำเภอละงู จังหวัดสตูล เชื่อมต่อกับโครงการท่าเรือน้ำลึกสงขลาแห่งที่ 2 พื้นที่อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา รวมถึงการศึกษาโครงการก่อสร้างเส้นทางรถไฟรางคู่ เชื่อมต่อกับโครงการท่าเรือน้ำลึกทั้งสองแห่ง ข้อมูลจากรายงาน “Land bridge Effect: เสียงสะท้อน ผลกระทบท่าเรือน้ำลึก โครงการแลนด์บริดจ์ชุมพร – ระนอง”, หน้า 10.

  1. พ.ศ. ​2560 รัฐบาล คสช. ประยุทธ์ จันทรโอชา 1 โครงการท่าเรือน้ำลึกปากบารา มีการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นครั้งที่ 1 (ค.1) โดยกรมเจ้าท่า แต่ถูกคัดค้นาอย่างหนักจากในพื้นที่ และช่วงปี 2564 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ ประกาศเดินหน้าศึกษาโครงการวิเคราะห์รูปแบบโมเดลการพัฒนาการลงทุนโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้เชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน กำหนดให้พื้นที่จังหวัดชุมพร – ระนอง เป็นที่ตั้งโครงการเพื่อพัฒนาโครงข่ายโลจิสติกส์ภาคใต้ ข้อมูลจากรายงาน “Land bridge Effect: เสียงสะท้อน ผลกระทบท่าเรือน้ำลึก โครงการแลนด์บริดจ์ชุมพร – ระนอง”, หน้า 11.
  2.  พ.ศ.​ 2566 รัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2566 คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบหลักการโครงการพัฒนาโครงสร้าพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง เพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน (โครงการแลนด์บริดจ์) และให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการรับฟังความคิดเห็นจากนักลงทุนต่างประเทศ (Road Show) ในการพัฒนาโครงการแลนด์บริดจ์เพื่อนำมาประกอบในการจัดทำร่างเอกสารเชิญชวนผู้ลงทุนในการร่วมลงทุนโครงการ (RFP) ต่อไป,  ผู้จัดการออนไลน์, ครม.เศรษฐาเคาะ “แลนด์บริดจ์” เดินหน้าโรคโชว์ทุนต่างชาติผุดเฟสแรก 5.22 แสนล้าน

[2] สรุปประเด็นจากงานเสวนาเเละเปิดตัวรายงาน “Land bridge Effect : เสียงสะท้อน ผลกระทบท่าเรือน้ำลึกชุมพร-ระนอง วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568

[3] พื้นที่แรมซาร์ มาจากอนุสัญญาแรมซาร์ (Ramsar Convention) คือ อนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศ ถือเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำเป็นตัวแทนหายากหรือมีลักษณะพิเศษเฉพาะ ซึ่งพบในเขตชีวภูมิศาสตร์ที่เหมาะสม มีความสำคัญระหว่างประเทศสำหรับการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพที่เกี่ยวข้องกับชนิดพันธุ์และชุมชนประชากรทางนิเวศของนกน้ำและปลา  แวดล้อมอีสาน, พามาเบิ่ง “แรมซาร์ไซต์” พื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศในภาคอีสาน, : 

[4] หนังสือสรุปประเด็นจากงานเสวนาเเละเปิดตัวรายงาน “Land bridge Effect : เสียงสะท้อน ผลกระทบท่าเรือน้ำลึกชุมพร-ระนอง วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568

[5] สำนักข่าวอิศรา

 

The post หรือต้องเอา ป่าเขา เต่าทะเล วิถีชีวิตคนใต้ แลกกับอุตสาหกรรม? appeared first on มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม - EnLAW.

]]>
https://enlawfoundation.org/land-bridge-effect/feed/ 0
ความเสี่ยงทางสุขภาพ ในวันที่กรุงเทพมหานครและอีกหลายจังหวัดจมฝุ่น PM2.5 อย่างต่อเนื่อง https://enlawfoundation.org/health-effects-from-pm2-5/ https://enlawfoundation.org/health-effects-from-pm2-5/#respond Sat, 25 Jan 2025 09:06:40 +0000 https://enlawfoundation.org/?p=8648 ความเสี่ยงทางสุขภาพในวันที่กรุงเทพมหานครและอีกหลายจังหว […]

The post ความเสี่ยงทางสุขภาพ ในวันที่กรุงเทพมหานครและอีกหลายจังหวัดจมฝุ่น PM2.5 อย่างต่อเนื่อง appeared first on มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม - EnLAW.

]]>

ความเสี่ยงทางสุขภาพในวันที่กรุงเทพมหานครและอีกหลายจังหวัดจมฝุ่น PM2.5 อย่างต่อเนื่อง 

“เมืองหลวงควันและฝุ่นมากมาย พี่สูดดมเข้าไปร่างกายก็เป็นภูมิแพ้” บรรยากาศที่ปกคลุมไปด้วยฝุ่นของกรุงเทพ ณ ตอนนี้ ย้อนชวนให้ใครหลายคนนึกถึงเพลงฮิตอย่าง “ภูมิแพ้กรุงเทพ” ของพี่ป้าง นครินทร์ ที่เคยมีกระแสในช่วงปี ค.ศ. 2014 ซึ่งมีเนื้อร้องกล่าวอ้างถึงสถานการณ์ฝุ่นในกรุงเทพมหานคร โดยเนื้อเพลงและ บทบาทสมมติใน MV ได้เล่าถึงตัวชายหนุ่มที่ต้องย้ายหนีฝุ่นจากกรุงเทพไปอยู่ต่างจังหวัด เพราะต้องการรักษาตัวจากโรคภูมิแพ้

อย่างไรก็ตามแม้ว่าบทเพลงนี้จะเข้ากับบรรยากาศของกรุงเทพ ณ ตอนนี้ แต่สถานการณ์ฝุ่นในความเป็นจริงของทุกวันนี้ไม่ได้มีแค่ในกรุงเทพ ทว่ากลับมีหลายพื้นที่และหลายจังหวัดที่มีค่าฝุ่นเกินมาตรฐานและเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เช่น พื้นที่ในจังหวัดสมุทรปราการ ชลบุรี ฉะเชิงเทรา ระยอง เชียงใหม่ เชียงราย เป็นต้น แม้ในหลายพื้นที่จะเผชิญกับปัญหาฝุ่นมาหลายปีแล้ว แต่รัฐบาลก็ยังไม่สามาถแก้ไขปัญหานี้ได้ ทำให้ประชาชนในหลายพื้นที่เสี่ยงได้รับผลกระทบต่อสุขภาพกันไปเต็มๆ ที่เลวร้ายไปกว่านั้น ฝุ่นดังกล่าวคือฝุ่น PM2.5 เพราะมีงานวิจัยหลายชิ้นต่างยืนว่าPM2.5 เป็นหนึ่งในสาเหตุของโรคต่างๆและทำให้เสียชีวิตก่อนวัยอันควร

ผลกระทบทางสุขภาพจากPM2.5

            ในปัจจุบันมีการวิจัยจากหลากหลายสถาบันที่ได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับผลกระทบจากฝุ่น PM2.5 โดยผลการวิจัยต่างยืนยันถึง PM 2.5 ที่เป็นต้นตอของโรคต่าง ๆ และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เสียชีวิตก่อนวัยอันควร อีกทั้งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้มีจำนวนคนเข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลที่เกี่ยวกับโรคทางเดินหายใจเพิ่มขึ้น โดยตัวอย่างผลการวิจัยในประเทศสหรัฐอเมริกา จาก  Children’s Health Study กล่าวถึงกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงมีผลกระทบทางสุขภาพที่เกิดจาก PM 2.5 คือ เด็กและเด็กทารก เนื่องจากมีอัตราการหายใจเข้ามากกว่าผู้ใหญ่ นั่นหมายความว่าเด็กจะหายใจเข้าและได้รับมลพิษจาก PM 2.5 มากกว่า นอกจากนี้เด็กมีระบบภูมิคุ้มกันยังไม่มากพอ ในขณะที่ CARB (California Air Resources Board) พบว่าเด็กที่อาศัยอยู่ในชุมชนที่มีปริมาณ PM2.5 ในอากาศสูงจะทำให้ปอดของเด็กมีการเจริญเติบโตช้าและมีขนาดที่เล็กกว่าปกติ ขณะเดียวกันกลุ่มเสี่ยงอีกกลุ่ม คือ กลุ่มคนสูงวัยที่มีโรคประจำตัวอย่างโรคหัวใจและโรคปอดเรื้อรัง ตลอดจนกลุ่มของคนที่มีโรคประจำตัวอย่างโรคหอบหืด กลุ่มคนเหล่านี้จะอยู่ในภาวะเสี่ยงได้รับผลกระทบจาก PM2.5มากกว่ากลุ่มคนปกติทั่วไป อย่างไรก็ตามกลุ่มของคนปกติเองก็เสี่ยงที่จะเกิดโรคภัยชนิดต่างๆเพิ่มขึ้นเช่นกัน

          ในปี ค.ศ. 2024 ที่ผ่านมา ScienceDirect เว็บไซต์วารสาร งานวิจัยทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์ของสำนักพิมพ์ Elsevier ได้รวบรวมข้อมูลจากงานวิจัยทางระบาดวิทยาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2007-2024 ที่มีความเกี่ยวข้องกับผลกระทบทางสุขภาพซึ่งสัมพันธ์กันกับ PM2.5 ผลจากการรวบรวมงานวิจัยเหล่านี้ถูกเผยแพร่ไว้ในวารสาร การอัปเดตผลกระทบทางสุขภาพที่เกิดจาก PM2.5” (An update on adverse health effects from exposure to PM2.5) ในวารสารนี้ได้อธิบายถึงการเกิดโรคที่เกิดจากการได้รับปริมาณ PM2.5 ที่มาสะสมอยู่ในร่างกาย  โดยแบ่งโรคออกเป็น 4 ประเภทตามของระบบการทำงานของร่างกาย คือ 1.ระบบทางเดินหายใจและปอด ซึ่งงานศึกษาระบาดวิทยาหลายชิ้นชี้ให้เห็นถึงข้อมูลที่ตรงกันว่าปริมาณของฝุ่น PM2.5 ที่เกินมาตรฐานคุณภาพอากาศนั้นทำให้มีจำนวนผู้ป่วยเข้ารับการรักษาด้วยโรคหอบหืด โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง เพิ่มมากขึ้น ฝุ่น PM2.5 มีอนุภาคขนาดเล็กมากทำให้เมื่อเข้าสู่ระบบหายใจแล้วสามารถเคลื่อนย้ายไปยังกระแสเลือดได้อย่างง่ายดาย ส่งผลให้การทำงานของพังผืดปอดเกิดความเสียหาย นอกจากนี้ยังพบว่าองค์ประกอบทางเคมีของ PM2.5 ส่งผลทำให้เซลล์เกิดความผิดปกตินำไปสู่การเกิดมะเร็งปอดได้

2.ระบบภูมิคุ้มกัน  ในกระบวนการทางพิษวิทยาและสรีรวิทยาได้อธิบายถึง PM2.5 ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพว่า PM2.5 สามารถเข้าสู่ร่างกายได้ไปถึงหน่วยแลกเปลี่ยนก๊าซในถุงลมปอด ชั้นเยื่อเมือกของทางเดินหายใจ ของเหลวที่บุทางเดินหายใจ เซลล์เยื่อบุหลอดลมและถุงลม เม็ดเลือดขาวและเซลล์ภูมิคุ้มกันโดยกำเนิด ซึ่งมีการยืนยันออกมาแล้วว่าเมื่อ PM2.5 เข้าไปได้ยังส่วนต่าง ๆ ดังกล่าว จะทำให้เกิดการยับยั้งการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันแย่ลง นำไปสู่การเกิดเซลล์อักเสบและเป็นผลให้เกิดความผิดปกติของเซลล์เป็นสาเหตุให้เกิดการพัฒนาไปเป็นมะเร็ง

3.ระบบหัวใจและหลอดเลือด ด้วยขนาดของ PM2.5ที่มีขนาดเล็กกว่าเส้นผมทำให้สามารถเข้าสู่ระบบไหลเวียนโลหิตทั่วร่างกายได้เมื่อไปสะสมก็จะเป็นอุปสรรคต่อการไหลเวียนของเลือดและอากาศ เป็นสาเหตุของการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง หลอดเลือดหัวใจ หัวใจขาดเลือด และเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวและหัวใจวาย ซึ่งจากการรวบผลวิจัยจากหลากหลายประเทศพบว่าการเข้ารับการษาในสถานพยาบาลด้วยโรคหลอดเลือดหัวใจเพิ่มขึ้นมีความเชื่อมโยงกับพื้นที่ที่มีปริมาณ PM2.5 เกินค่ามาตรฐานอย่างต่อเนื่อง

4.ระบบประสาทและจิตเวช ในส่วนของระบบนี้แม้จะมีหลักฐานว่าความผิดปกติของระบบประสาทมีความเชื่อมโยงกันกับ PM2.5 แต่การวิจัยในส่วนนี้ยังไม่ชัดเจนและครอบคลุมมากพอ อย่างไรก็ตามนักวิจัยจากหลายประเทศก็ตั้งความกังวลไว้ว่าองค์ประกอบที่ชื่อว่า Sulfates (SO42-) มีความเกี่ยวข้องกับเกี่ยวข้องกับอัตราส่วนความเสี่ยงของภาวะสมองเสื่อม นอกจากนี้อนุภาคขนาดที่เล็กมากของPM2.5 ที่สามารถเข้าไปในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ ตลอดจนเข้าไปสู่ระบบประสาทกระตุ้นให้เกิดการอักเสบของระบบประสาทได้ ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้มีหลักฐานว่าช่วงปี ค.ศ.1990-2020  ผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน โรคอัลซไฮเมอร์ และโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงมีเพิ่มขึ้น โดยทั้ง 2 โรคนี้เกี่ยวกับการอักเสบของระบบประสาทที่เชื่อมโยงกับ PM2.5 นอกจากนี้ในปีค.ศ.2022 การศึกษาในประเทศเกาหลีใต้และการศึกษาในจีนปี 2024 ที่ผ่านมาพบว่าภาวะซึมเศร้าในผู้เข้ารับษาวัยกลางคนและผู้สูงอายุนั้นต่างมีความเชื่อมโยงกับPM 2.5 ซึ่งอธิบายผ่านพฤติกรรมและความผิดปกติทางจิตที่เกิดขึ้นว่าเมื่อค่าPM2.5 สูงสามารถส่งผลต่อพฤติกรรมและจิตใจให้มีความผิดปกติได้เช่นกัน ทำให้มีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาเพิ่มขึ้น

อัตราการเจ็บป่วยจากPM2.5 ในประเทศไทย

ในขณะที่สถานการณ์ในประเทศไทยข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2025 เปิดเผยว่ามีประชาชนราว 38 ล้านคนอยู่ในพื้นที่ฝุ่น PM2.5 เกินค่ามาตรฐาน และมีกลุ่มเสี่ยงหรือกลุ่มเปราะบางมากถึง 15 ล้านคน โดยกลุ่เช่น กลุ่มผู้ป่วยโรคหอบหืด ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง และ เด็กเล็ก ในขณะที่ข้อมูลจากกรมควบคุมโรคเปิดเผยว่าเมื่อช่วง 1 ตุลาคม 2023 – 31 ธันวาคม 2024 มีจำนวนผู้เข้ารับการรักษาที่เชื่อมโยงกับสถานการณ์ฝุ่น PM2.5 เป็นจำนวนมาก โดยแบ่งผู้เข้าการรักษาออกเป็น 6 โรค คือ ปอดอุดกั้นเรื้อรัง 226,423 คน โรคตาอักเสบ 357,104 คน โรคผิวหนังอักเสบ  442,073 คน โรคหืด 18,336 คน  หัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน 4,051 คน  และการสัมผัสกับมลพิษทางอากาศ 28 คน รวมทั้งหมด 1,048,015 คน

อย่างไรก็ตามผลงานวิจัยในหลายประเทศข้างต้นที่ชี้ว่าการเกิดโรคต่าง ๆ ถูกกระตุ้นให้เกิดง่ายขึ้นหรือมีแนวโน้มต่อการเกิดโรคได้ง่ายนั้นมีความสัมพันธ์กับPM2.5ที่เข้าไปสู่ร่างกายและปริมาณค่าฝุ่น PM2.5 ที่เกินมาตรฐาน เมื่อเปรียบเทียบกับสถานการณ์ฝุ่นPM2.5 ในประเทศไทยแล้วนั้น มีแนวโน้มว่าจำนวนของผู้เข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และประชาชนจะตกอยู่ท่ามกลางอากาศที่เป็นมลพิษเช่นนี้ต่อไป หากสถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ยังคงย่ำแย่อยู่อย่างทุกวันนี้ และแม้ว่าไทยจะประกาศให้ การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” จะถูกยกให้เป็นวาระแห่งชาติมาตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2019 ซึ่งเป็นระยะเวลาถึง 5 ปีกว่ามาแล้ว และรัฐบาลสูญเสียงบประมาณไปแล้วเกือบสองหมื่นล้านบาทในการแก้ปัญหา PM2.5 แต่ดูเหมือนว่าปัญหาฝุ่นกลับทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมารัฐบาลไม่มีมาตรการเชิงป้องกันในระยะยาวที่จะทำให้ทั้งตัวภาครัฐและประชาชน ได้เข้าถึงข้อมูลแหล่งกำเนิดฝุ่นที่ชัดเจนว่าแหล่งกำเนิดฝุ่นเกิดมาจากที่ใด เกิดได้อย่างไร ส่งผลให้ไม่มีฐานข้อมูลมาใช้เพื่อกำหนดแนวทางหรือนโยบายป้องกันฝุ่นในระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนประชาชนในพื้นที่เสี่ยงไม่สามารถเข้าถึงการเฝ้าระวังทางสุขภาพได้เลย หากปัญหาฝุ่น PM2.5 ยังไม่ถูกแก้ไขอย่างจริงจังในเร็ววัน แนวโน้มอัตราการเจ็บป่วยและเสียชีวิตอันเนื่องมาจากฝุ่น PM2.5 ของประเทศไทยเองก็คงเพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ข้อมูลจาก:

ELSEVIER: An update on adverse health effects from exposure to PM2.5

Hfocus เจาะลึกระบบสุขภาพ: สธ. เผยคนไทย 38 ล้านคนอยู่ในพื้นที่ฝุ่น PM2.5 เกินค่ามาตรฐาน พบเป็นกลุ่มเปราะบาง 15 ล้านคน,

Thaiprtr.com: หยุดปกปิดมลพิษ PRTR 

 กระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม: แผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” 

 

 

The post ความเสี่ยงทางสุขภาพ ในวันที่กรุงเทพมหานครและอีกหลายจังหวัดจมฝุ่น PM2.5 อย่างต่อเนื่อง appeared first on มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม - EnLAW.

]]>
https://enlawfoundation.org/health-effects-from-pm2-5/feed/ 0
กฎหมาย PRTR จะช่วยแก้ปัญหาฝุ่นพิษ PM2.5 จากภาคอุตสาหกรรมได้อย่างไร https://enlawfoundation.org/solve-pm2-5-with-prtr/ https://enlawfoundation.org/solve-pm2-5-with-prtr/#respond Fri, 24 Jan 2025 08:24:14 +0000 https://enlawfoundation.org/?p=8638 กฎหมาย PRTR จะช่วยแก้ปัญหาฝุ่นพิษ PM2.5 จากภาคอุตสาหกรร […]

The post กฎหมาย PRTR จะช่วยแก้ปัญหาฝุ่นพิษ PM2.5 จากภาคอุตสาหกรรมได้อย่างไร appeared first on มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม - EnLAW.

]]>

กฎหมาย PRTR จะช่วยแก้ปัญหาฝุ่นพิษ PM2.5 จากภาคอุตสาหกรรมได้อย่างไร

 
ในบรรดาที่มาของฝุ่น PM2.5 ทั้งหมด มักจะมีการกล่าวถึงฝุ่นจากการเผาในที่แจ้ง ฝุ่นจากภาคคมนาคม ขณะที่ฝุ่นจากภาคอุตสาหกรรม ซึ่งมีอันตรายสูงกว่า เช่น ฝุ่นจากโรงงานอุตสาหกรรม โรงไฟฟ้า และเหมืองแร่ กลับไม่ถูกพูดถึงหรือถูกลืมไป ทั้งๆ ที่ควรเป็นแหล่งกำเนิดที่ภาครัฐควรควบคุมได้รวดเร็วและชัดเจนกว่า หากมีกฎหมายที่เหมาะสมและมาตรการที่จริงจัง
 
กฎหมาย PRTR คืออะไร ?
 
กฎหมาย PRTR มาจากคำว่า Pollutant Release and Transfer Registers คือ กฎหมายว่าด้วยการรายงานและเปิดเผยข้อมูลการปล่อยและการเคลื่อนสารมลพิษสู่สิ่งแวดล้อม คือ กฎหมายที่จะทำให้เกิดฐานข้อมูลระดับประเทศ ที่รวมเอาข้อมูลการปล่อยมลพิษสู่สิ่งแวดล้อมทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นอากาศ แหล่งน้ำ และพื้นดิน จากโรงงานอุตสาหกรรม โรงไฟฟ้า เหมืองแร่ รวมถึงรถยนต์ประเภทต่างๆ และการใช้สารเคมีในภาคเกษตรด้วย แหล่งมลพิษเหล่านี้กระจายอยู่ทั่วประเทศ ปล่อยของเสียสู่สิ่งแวดล้อมตลอดปี ทำให้อากาศเป็นพิษ จนประชากรที่ป่วยด้วยโรคจากมลพิษอากาศพุ่งสูงขึ้นทุกปี แม่น้ำลำคลองเน่าเสียจนเราแทบจะไม่เหลือแหล่งน้ำธรรมชาติที่ดีและเหมาะแก่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ขณะที่พื้นที่เกษตรหลายแห่งถูกเคลือบด้วยสารพิษ กฎหมาย PRTR จะทำให้ฐานข้อมูลนี้ “Open Data” ที่ทุกคนสามารถเข้าถึง นำมาใช้ประโยชน์ได้ ข้อสำคัญคือ จะทำให้ภาครัฐมีข้อมูลที่ถูกต้องและครอบคลุมสำหรับนำมาแก้ปัญหามลพิษอากาศ ฟื้นฟูแหล่งน้ำและพื้นดิน และคุ้มครองสุขภาพประชาชน ลดความเสียหายของภาคธุรกิจและการลงทุน ทำให้เศรษฐกิจและการค้าเติบโตอย่างมั่นคงยั่งยืน
 
กฎหมาย PRTR จะช่วยแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 ได้อย่างไร
 
ณ วันนี้ รัฐบาลสูญเสียงบประมาณเกือบสองหมื่นล้านบาทไปแล้วเพื่อแก้ปัญหา PM2.5 แต่ยังแก้ไขไม่ได้ ปัญหาฝุ่นกลับรุนแรงยิ่งขึ้น เพราะรัฐบาลไม่เคยรู้อย่างแท้จริงว่า ฝุ่นที่ปกคลุมทั่วท้องฟ้าในเวลานี้มาจากอะไร มาจากที่ไหน ช่องโหว่ของการแก้ปัญหาจริงๆ คืออะไร
 
กฎหมาย PRTR จะช่วยรัฐบาลให้มีคำตอบที่ดี ด้วยฐานข้อมูลที่ครอบคลุมและน่าเชื่อถือมากขึ้น ทำให้ภาครัฐกำกับควบคุมโรงงานอุตสาหกรรม และออกนโยบายแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ได้ตรงจุดมากขึ้น
 
กฎหมาย PRTR จะพาไปประเทศไทยไปสู่ยุคใหม่ของสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน ลดมลพิษอากาศสะอาด สร้างชีวิตชีวาให้กับแม่น้ำลำคลอง ฟื้นฟูพื้นดินเพื่อการเกษตรที่ปลอดภัยขึ้น และสุขภาพประชาชนที่ปลอดภัยมากขึ้นจากมลพิษและสารเคมี
 
กฎหมาย PRTR กับการป้องกันมะเร็ง : ทำไมเราจึงควรรู้ว่าโรงงานอุตสาหกรรมปล่อยมลพิษอะไรออกมาบ้าง
 
โรคมะเร็งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของคนในประเทศไทย สถิติการเสียชีวิต ซึ่งจัดทำโดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพบว่า ในช่วงปี 2537 – 2560 โรคมะเร็งและเนื้องอกทุกชนิดของคนไทยเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 โดยในปี 2537 โรคมะเร็งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของคนไทย 48.9 คน ต่อประชากร 100,000 คนและเพิ่มขึ้นเป็น 120.5 คน หรือเกือบ 3 เท่าตัว ในปี 2560
อย่างไรก็ตามโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ กลับไม่ต้องรับผิดชอบต่อเรื่องนี้ เพราะไม่มีใครรู้ว่าโรงานเหล่านั้นปล่อยมลพิษอะไรออกมาบ้าง แต่หากมีกฎหมาย PRTR จะทำให้ประชาชนทราบถึงชนิดและปริมาณสารเคมีที่ปล่อยออกมาและยังทำให้รัฐกำกับและควบคุมการปล่อยมลพิษ สารก่อมะเร็งต่าง ๆ ของโรงงานอุตสาหกรรมได้แม่นยำขึ้น กฎหมาย PRTR จึงเป็นเครื่องมือสำคัญเพื่อแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ
 
เมื่อข้อมูลคือพลัง กฎหมาย PRTR จะทำให้ประชาชนรู้ทั้งชนิดและปริมาณสารเคมีที่ปล่อยออกมาและยังทำให้รัฐกำกับและควบคุมการปล่อยมลพิษ สารก่อมะเร็งต่าง ๆ ของโรงงานอุตสาหกรรมได้แม่นยำขึ้น
 
กฎหมาย PRTR อยู่ขั้นตอนไหนแล้ว?
.
หลังจากที่ปีที่แล้วเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2567 มูลนิธิบูรณะนิเวศ (EARTH) มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม – EnLAW กรีนพีซ ประเทศไทย ยื่นรายชื่อประชาชน 12,165 รายชื่อ เพื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติการรายงานและเปิดเผยข้อมูลการปล่อยและเคลื่อนย้ายสารมลพิษ พ.ศ…. (ร่าง พ.ร.บ. PRTR) เพื่อเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรได้ดำเนินการรับฟังความคิดเห็นและวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากร่างกฎหมายเสร็จเป็นที่เรียบร้อย และประธานสภาผู้แทนราษฎรได้อนุญาตบรรจุวาระเรื่องร่าง พ.ร.บ. PRTR เข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร วาระที่หนึ่ง (ขั้นรับหลักการ) แล้วตั้งแต่วันที่ 3 กรกฎาคม 2567 แต่จนถึงปัจจุบันผ่านมากว่าครึ่งปีแล้ว ร่าง พ.ร.บ.PRTR ก็ยังคงค้างรอการพิจารณาวาระที่หนึ่งอยู่เช่นเดิม และไม่มีทีท่าว่าจะถูกหยิบยกขึ้นมาพิจารณาในเร็ววัน
.
หาฝุ่น PM2.5 เป็นปัญหาที่แก้ยาก แต่แก้ได้ เพียงแต่ต้องอาศัยการเอาจริง
.
จากสถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ที่เข้าขั้นวิกฤต เราขอเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งรัดนำกฎหมาย PRTR ขึ้นมาพิจารณาอย่างเร่งด่วน
.
อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับกฎหมาย #ThaiPRTR >> https://thaiprtr.com

The post กฎหมาย PRTR จะช่วยแก้ปัญหาฝุ่นพิษ PM2.5 จากภาคอุตสาหกรรมได้อย่างไร appeared first on มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม - EnLAW.

]]>
https://enlawfoundation.org/solve-pm2-5-with-prtr/feed/ 0