จาก Montana, USA.
“Ruby D. อายุ 11 ปี และโจทก์ Lilian D. อายุ 9 ปี มีเชื้อสายโครว์ (Crow) และเป็นสมาชิกของเผ่าโครว์มอนแทน่า (Crow of Montana) ที่อาศัยอยู่ในเขตอนุรักษ์และสงวนพันธุ์อีกา…พวกเขาเก็บโช้คเชอร์รี่ป่า และผลเบอร์รี่เพื่อทำน้ำเชื่อม และเก็บลูกฮัคเคิลเบอร์รี่ป่า ราสเบอร์รี่ องุ่นออริกอน และผลไม้ป่าอื่น ๆ เพื่อเตรียมการเข้าร่วมงานเทศกาลโครว์แฟร์ (Crow Fair) ซึ่งเป็นงานวัฒนธรรมและจิตวิญญาณแบบดั้งเดิม รวมถึงวิถีชีวิตของพวกเขา แต่พวกเขาต้องเผชิญกับสภาพอากาศที่ไม่ปกติ ผลไม้เบอร์รี่และผลไม้อื่นๆ ไม่สุกตามฤดูกาล ทั้งจำนวนไฟป่าที่เพิ่มขึ้นในรัฐมอนแทนนา ส่งผลให้ทั้งสองไม่สามารถเพลิดเพลิน และกระทบต่อวัฒนธรรมเดิมของพวกเขา และทำให้ Ruby เป็นโรคหอบหืด หายใจลำบากและเปราะบางเป็นพิเศษเมื่อเกิดควันไฟป่า ซึ่งกระทบต่อสุขภาพและการใช้ชีวิตของเธอ
ผลกระทบจากโลกร้อนยังส่งผลต่อแม่น้ำแมดิสัน ที่ทั้งสองคนเคยล่องแพและเล่นสเกตน้ำแข็งได้เริ่มหายไป เพราะระดับน้ำที่ลดลงพร้อมกับฤดูหนาวที่มีอากาศอบอุ่นขึ้น ทั้ง Ruby และ Lilian ต่างตระหนักว่าพวกเขาต้องปกป้องวัฒนธรรมและศักดิ์ศรีของพวกเขา พร้อมไปกับการสนับสนุนสิทธิของตนเองและสิ่งแวดล้อม ทั้งการบริจาคเงินให้องค์กรต่างๆ ไม่สามารถปกป้องอนาคตของพวกเขาได้ แต่สิ่งที่พวกเขาต้องการคือการสนับสนุนจากรัฐบาลของพวกเขา…”[1]
ข้อความข้างต้นเป็นสิ่งที่ผู้เขียนสรุปความจากหนึ่งในผู้ฟ้องคดีที่เป็นกลุ่มเยาวชนจำนวน 16 คน โดยมีอายุระหว่าง 2-18 ปี ที่สะท้อนให้เห็นว่าพวกเขาต่างได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่ทำให้สิทธิในการใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบสุข ตามวิถีชีวิต วัฒนธรรมและประเพณี สิทธิในอากาศที่ดี รวมถึงสิทธิของเด็กได้รับผลกระทบอันเนื่องมาจากนโยบายของรัฐ นอกจากนี้ เยาวชนคนอื่น ๆ ต่างก็เขียนถึงสภาพแวดล้อมที่พวกเขาเคยใช้ชีวิตนั้นเปลี่ยนแปลงไปจากสภาวะโลกร้อน ที่ล้วนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน คดีนี้ถือเป็นคดีประวัติศาสตร์ที่กลุ่มเยาวชนที่ได้รับผลกระทบจากการที่หน่วยงานรัฐออกข้อยกเว้นเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในพระราชบัญญัติสิ่งแวดล้อมมอนแทน่า (the Montana Environmental Policy Act-MEPA) ที่ออกตามนโยบายพลังงานของรัฐ (the State Energy Policy) ที่เน้นนโยบายการลงทุนและสนับสนุนอุตสาหกรรมการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล เพราะเป็นรัฐที่ถือครองปริมาณสำรองถ่านหินที่กลับมาใช้ใหม่ได้ของมลรัฐ 30% และเป็นรัฐที่ผลิตถ่านหินมากเป็นอันดับ 4 ในบรรดารัฐต่าง ๆ ทำให้อุตสาหกรรมถ่านหินในรัฐมอนแทน่าเป็นแหล่งรายได้ที่นำเงินเข้ารัฐนับล้านล้านดอลลาร์ทุกปี[2] จึงทำให้รัฐออกนโยบายที่ไม่ให้มีการประเมินผลกระทบด้านสภาพอากาศและการปล่อยมลพิษในขั้นตอนอนุมัติโครงการ ที่ถือว่าเป็นการละเว้นทางนโยบายที่ขาดการคำนึงถึงผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศ เป็นผลให้กลุ่มผู้ฟ้องคดีได้รับผลกระทบต่อการดำรงชีวิตในสิ่งแวดล้อมที่สะอาดและดีต่อสุขภาพ
ฐานสิทธิในการฟ้องคดีครั้งนี้อ้างถึงบทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญมอนแทน่า มาตรา 5 บัญญัติรับรองว่า
“รัฐและบุคคลควรที่จะรักษาและปรับปรุงสภาพแวดล้อมที่สะอาดและดีต่อสุขภาพเพื่อคนรุ่นปัจจุบันและอนาคต” เป็นที่น่าสังเกตว่า รัฐมอนแทน่าเป็น 1 ใน 3 มลรัฐที่มีการรับรองสิทธิในสิ่งแวดล้อมที่ดีและสะอาดในรัฐธรรมนูญของมลรัฐ[3]
คดีนี้ศาลได้มีคำพิพากษาให้กลุ่มเยาวชนนะคดี โดยผู้พิพากษา Kathy Seeley ได้ยืนยันถึงสิทธิขั้นพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญ และพิพากษาว่านโยบายที่ห้ามไม่ให้หน่วยงานของรัฐต้องพิจารณาผลกระทบด้านสภาพอากาศและการปล่อยมลพิษเมื่อเริ่มอนุมัติโครงการเชื้อเพลิงฟอสซิลนั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญ คดีนี้เป็นหนึ่งในประวัติศาสตร์ที่เยาวชนได้ลุกขึ้นมาเพื่อต่อสู้ในสิทธิของตนเอง สิทธิวัฒนธรรม ชีวิต ความเป็นอยู่อันปกติสุข สิทธิด้านสิ่งแวดล้อมต่อทรัพยากรธรรมชาติ รวมถึงสิทธิในการดำรงชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดีของคนรุ่นต่อไป และคำพิพากษาของคดีนี้ได้ส่งผลให้การออกนโยบายของรัฐจะต้องคำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อสภาพภูมิอากาศที่กลายเป็นปัญหาใหญ่ของโลก สอดคล้องกับสถิติการฟ้องร้องคดีเกี่ยวกับโลกร้อนที่รวบรวมโดย Sabin Center ตั้งแต่ปี 2017 – 2022 จากทั่วโลกพบว่า มีจำนวนการฟ้องร้องมากถึง 2,180 คดี ใน 65 เขตอำนาจศาลและมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ [4]
ถึงอมก๋อย, เชียงใหม่
วันที่ 4 เมษายน พ.ศ.2565 ชาวบ้านกะเบอะดินร่วมกับชุมชนทางผ่าน จำนวน 50 คน เป็นผู้ฟ้องคดีและประชาชนในพื้นที่อมก๋อยจำนวน 615 คนในฐานะผู้สนับสนุนการฟ้องคดี ยื่นฟ้องหน่วยงานรัฐคือ คณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณา รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ด้านเหมืองแร่และอุตสาหกรรม และสำนักนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่ทำหน้าที่พิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment: EIA) ต่อศาลปกครองเชียงใหม่ เพื่อขอให้ศาลเพิกถอนรายงาน EIA ของเหมืองถ่านหินอมก๋อย บ้านกะเบอะดิน เนื่องเป็นรายงานที่เคยจัดทำมาแล้วกว่า 10 ปี ขาดการมีส่วนร่วมของประชาชนในชุมชนที่ได้รับผลกระทบ และยังมีข้อพิรุธหลายประการ อีกทั้งไม่ครอบคลุมผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่ชาวบ้านและชุมชนโดยรอบจะได้รับผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่ดี สิทธิการใช้ทรัพยากร รวมถึงสิทธิการมีอากาศสะอาดหายใจและสิทธิการเข้าถึงน้ำสะอาด[5]
คดีนี้เป็นอีกหนึ่งคดีที่นำโดยเยาวชนบ้านกะเบอะดิน ที่ถือเป็นแกนพลังหลักสำคัญในการขับเคลื่อน และสร้างพลังตื่นตัวให้กับคนในชุมชน เพราะด้วยข้อจำกัดทางภาษาที่ผู้เฒ่า และพ่อแม่ไม่สามารถที่จะสื่อสารหรือเข้าใจภาษาไทยได้ดี พวกเขาจึงมีส่วนอย่างมากในการสร้างความรับรู้และขับเคลื่อนการต่อต้านโครงการเหมืองแร่อย่างแข็งขัน สิ่งที่สะท้อนการลงแรงของเยาวชนบ้านกะเบอะดินที่สำคัญและกลายเป็นพยานหลักฐานที่ใช้ในชั้นศาลคือ รายงานการประเมินผลกระทบโดยชุมชน (Community Health Impact Assessment: CHIA) ที่เยาวชนมีบทบาทในการร่วมเก็บข้อมูล และเขียนข้อมูลเกี่ยวกับวิถีชีวิต วัฒนธรรม ความเป็นอยู่ ประเพณี ความเชื่อ รวมไปถึงทรัพยากรที่จะได้รับผลกระทบหากเกิดเหมืองแร่ขึ้นในชุมชนของพวกเขา[6]
ความมุมานะ และความพยายามในการส่งเสียงเรียกร้องปกป้องทรัพยากรธรรมชาติเพื่อปกป้องบ้านเกิดของตน กลายเป็นส่วนหนึ่งในคำฟ้องคดีเพิกถอน EIA เหมืองแร่อมก๋อย นอกจากนี้ คดีนี้ยังได้มีการยื่นขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวเนื่องจากกระบวนการขั้นตอนการขออนุญาตใช้พื้นที่เหมืองแร่ยังคงดำเนินการต่อไปได้ อันอาจทำให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อมในระหว่างขั้นตอนการพิจารณาของศาล ซึ่งในวันที่ 23 กันยายน 2565 ศาลปกครองเชียงใหม่จึงได้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวก่อนการพิพากษาให้ระงับการนำรายงาน EIA โครงการเหมืองแร่ถ่านหิน อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ ที่ผ่านมติความเห็นชอบจากหน่วยงานรัฐ ไปใช้เพื่อขออนุญาตออกประทานบัตรเหมืองแร่หรือดำเนินการใด ๆ ทั้งศาลยังได้ยืนยันถึงสิทธิตามรัฐธรรมนูญไทย ที่รับรองสิทธิการมีส่วนร่วมของชุมชนและประชาชนต่อการมีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ และการดำเนินการใด ๆ ของรัฐที่จะกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ คุณภาพสิ่งแวดล้อม สุขภาพอนามัย คุณภาพชีวิตหรือส่วนใดเสียอื่นใดของประชาชนหรือชุมชนต่อสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง ซึ่งศาลได้พิจารณาแล้วว่า รายงาน EIA ฉบับนี้ ไม่มีการประเมินผลกระทบต่อพื้นที่เกษตรกรรมและชุมชนต่าง ๆ ที่แม้จะใช้น้ำจากห้วยเดียวกันกับจุดที่ตั้งเหมืองแร่ แต่กลับไม่มีการกล่าวถึงโลหะและกึ่งโลหะพิษในถ่านหิน และไม่มีการประเมินผลกระทบต่อคุณภาพดินและน้ำที่อาจเกิดขึ้นจากเหมือง ทั้งรายงานฉบับนี้ไม่มีการตรวจสอบทบทวนการปลอมแปลงลายมือชื่อ และเหตุผลสำคัญอีกประการหนึ่งที่ศาลได้อ้างถึงในคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวคือ “หลักป้องกันไว้ก่อน (Precautionary Principle)” ที่ใช้เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างร้ายแรงที่ยากแก่การแก้ไขเยียวยาในภายหลัง[7]
นอกจากชัยชนะก้าวแรกของชุมชนกะเบอะดินตามคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวฯ จากศาลปกครองเชียงใหม่แล้ว อีกก้าวสำคัญของคดีเหมืองแร่อมก๋อยคือ การริเริ่มนำอนุสัญญาว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on Climate Change) และความตกลงปารีส (Paris Agreement) ที่ประเทศไทยได้ร่วมลงนามมาใช้เป็นส่วนหนึ่งของคดี เพราะถ่านหินถือเป็นสาเหตุหลักของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เป็นตัวการให้เกิดปัญหาโลกร้อน และเหมืองแร่ถ่านหินก็เป็นอุตสาหกรรมการใช้ฟอสซิลที่หลาย ๆ ประเทศทั่วโลกมีนโยบายลดจนถึงเลิกการใช้ถ่านหิน มุ่งสู่การใช้พลังงานที่ยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกว่าเดิม การเติมประเด็นเรื่องโลกร้อนเข้าไปในคำฟ้องนี้จึงถือเป็นความพยายามในการชูปัญหาเรื่องโลกร้อนที่จะตามมาจากนโยบายการพัฒนาที่ไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่ และไม่สอดคล้องนโยบายการพัฒนาที่ยั่งยืน
การต่อสู้ที่ดำเนินมาตลอดระยะเวลากว่า 2 ปีนี้ ได้สะท้อนความมุ่งมั่นของเยาวชนกะเบอะดินในการรักษาทรัพยากรธรรมชาติบนถิ่นฐานบ้านเกิดของตน เช่นเดียวกับการต่อสู้คดีของเยาวชนในมลรัฐมอนแทน่า สหรัฐอเมริกา ที่แม้จะห่างกันคนละซีกโลก ภาษา วัฒนธรรมและระบบกฎหมาย แต่พวกเขากลายเป็นกำลังหลักที่ลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อสิทธิความเป็นอยู่ที่ดี สิทธิในการดำรงชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี อากาศสะอาด และเพื่ออนาคตของพวกเขาและคนรุ่นต่อไป โดยพวกเขาต่างเล็งเห็นและได้รับผลกระทบจากนโยบายการพัฒนาของรัฐที่ไม่สอดคล้องกับความต้องการของพวกเขา ดังนั้นการเชื่อมโยงประเด็นจากทั้ง 2 คดีที่แม้จะแตกต่างกันในเชิงบริบท แต่หัวใจหลักของประเด็นคือการพูดถึงความยุติธรรมทางสิ่งแวดล้อม และความยุติธรรมระหว่างรุ่นบนฐานการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและส่งต่อสิ่งแวดล้อมที่ดีไปถึงคนในรุ่นอนาคต โดยเฉพาะหากนโยบายของรัฐยังคงไม่ปรับตัวด้านการดำเนินนโยบายการพัฒนาที่ยั่งยืนบนพื้นฐานหลักการสิทธิมนุษยชนทิศทางการฟ้องคดีเกี่ยวกับการปกปักรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมถึงการยืนยันสิทธิการมีส่วนร่วมของชุมชนเพื่ออนาคตที่ดีของคนรุ่นปัจจุบัน และคนรุ่นต่อไปจึงเป็นทิศทางที่ต้องเผชิญกันต่อไป โดยไม่มีทีท่าว่าจะลดลง
บทความโดย วัชลาวลี คำบุญเรือง มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม (EnLAW)
———————————————
[1] ถอดสรุปคำฟ้องคดี Held vs. Montana หน้า 23 – 25. หมายเหตุ – เนื้อหาในคำฟ้องคดีมีรายละเอียดเกี่ยวกับสถานะผู้ฟ้องคดี และผู้ถูกฟ้องคดี รวมไปถึงสิทธิตามรัฐธรรมนูญที่ใช้สู้กัน และผลกระทบที่เกิดขึ้นทั้งด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมถึงสุขภาพของกลุ่มเปราะบาง และผู้ฟ้องคดี คดีนี้จึงกลายเป็นคดีประวัติศาสตร์ที่เยาวชนเป็นผู้ฟ้องคดีและได้รับชัยชนะจากคำพิพากษาที่ยืนยันสิทธิตามรัฐธรรมนูญอันรับรองสิทธิในสิ่งแวดล้อมที่ดี
[2] ThaiPublica, “Climate Change เคสแรก ศาลตัดสินกลุ่มเยาวชนชนะ รัฐละเมิดสิทธิที่จะมีสภาพแวดล้อมที่สะอาดตามรัฐธรรมนูญ”, เผยแพร่เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2023, https://thaipublica.org/2023/08/judge-rules-in-favor-of-young-activists-in-montana-climate-trial/
[3] Bell, C. “Every State Should Have a Right to a Healthy Environment”, เผยแพร่เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2021, https://www.nrdc.org/bio/corinne-bell/every-state-should-have-right-healthy-environment.
[4] Burger, M. and Tigre, M.A., “Global Climate Litigation Report 2023 Status Review, UN environment programme”, p. 13, https://scholarship.law.columbia.edu/cgi/viewcontent.cgi?article=1203&context=sabin_climate_change.
[5] วรรณา แต้มทอง, “ศาลปกครองเชียงใหม่รับฟ้องคดีเหมืองแร่อมก๋อย หลังประชาชนพื้นที่ฟ้องเพิกถอน EIA”, เผยแพร่เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2565, https://prachatai.com/journal/2022/05/98794.
[6] Korawan Buadoktoom, “ ‘CHIA’ วิทยาศาสตร์พลเมืองต้านโครงการเหมืองแร่ถ่านหินอมก๋อย”, เผยแพร่เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2567, https://www.greenpeace.org/thailand/story/23381/climate-coal-omkoi-community-tools-against-coal-mine-project/
[7] วัชลาวลี คำบุญเรือง, “เปิด 5 เหตุผล ความชอบธรรมของชุมชนกะเบอะดิน กรณีศาลปกครองเชียงใหม่ ‘สั่งคุ้มครองชั่วคราวระงับการใช้ EIA เหมืองถ่านหินอมก๋อย’”, https://www.facebook.com/photo?fbid=521708449959193&set=pcb.521713036625401.