สำรวจ ‘คดีทวงคืนอากาศสะอาด’ ต่างประเทศ

สำรวจ ‘คดีทวงคืนอากาศสะอาด’ ต่างประเทศ

วัชลาวลี คำบุญเรือง

ปัญหามลภาวะทางอากาศ โดยเฉพาะฝุ่น PM2.5 เป็นสิ่งที่คนไทยกำลังเผชิญอย่างหนักหน่วงในรอบเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าคุณจะอยู่ภาคส่วนไหนของประเทศก็จะต้องเผชิญหน้ากับปัญหาฝุ่นพิษขนาดเล็ก อาจกล่าวได้ว่า แทบไม่มีจังหวัดไหนในประเทศไทยที่ประชาชนไม่เผชิญกับคุณภาพอากาศที่เลวร้าย

เป็นที่แน่ชัดว่า ปัญหาฝุ่น PM2.5 นั้นมีสาเหตุหลักเกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ ไม่ว่าจะการปล่อยควันรถ ท่อไอเสีย การเผาไหม้ การปล่อยควันมลพิษอุตสาหกรรม รวมไปถึงโรงไฟฟ้าถ่านหิน ผนวกกับสภาวะโลกร้อนที่เป็นตัวกระตุ้นให้ผลกระทบของฝุ่น PM2.5 รุนแรงขึ้น แต่อย่างไรเสีย รัฐยังคงมีหน้าที่ในการปกป้องคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน โดยนับแต่ ปี 2562 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน มีการฟ้องร้องเพื่อให้ภาครัฐแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 รวมแล้ว 7 คดี ที่ปรากฏในศาลปกครองกลางและศาลปกครองจังหวัดเชียงใหม่ (ดูรายละเอียดคำพิพากษาคดีเกี่ยวกับสถานการณ์ปัญหาฝุ่น PM2.5) และล่าสุดในคดีที่ภาคประชาชนฟ้องคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ และหน่วยงานรัฐละเลยล่าช้าต่อหน้าที่ในการปรับปรุงและประกาศใช้ค่ามาตรฐานฝุ่น PM2.5 ในบรรยากาศทั่วไปจากแหล่งกำเนิด และไม่จัดทำระบบการรายงานและเปิดเผยข้อมูลการปล่อยและเคลื่อนย้ายสารมลพิษ (Pollutant Releases and Transfer Register) ศาลปกครองกลางได้มีคำพากษาที่ยืนยันถึงหน้าที่ของรัฐในการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ที่ต้องมีมาตรการในการควบคุมเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายต่อสุขภาพ อนามัยของประชาชน หรือสิ่งแวดล้อม ตามหลักการเรื่องการระวังไว้ก่อน (Precautionary Principle) ของปฏิญญาริโอว่าด้วยสิ่งแวดล้อมและการพัฒนา (Rio Declaration on Environment and Development) รวมถึงสิทธิตามรัฐธรรมนูญของประชาชน

กระนั้นก็ตาม ประเทศไทยไม่ใช่เพียงประเทศเดียวที่ภาคประชาชน ได้รวมตัวทวงคืนอากาศสะอาดผ่านการฟ้องคดี บทความฉบับนี้จึงจะพาท่านผู้อ่านไปสำรวจ ‘คดีทวงคืนอากาศสะอาด’ ของประเทศแอฟริกาใต้ และประเทศอินโดนีเซีย ที่เผชิญกับปัญหามลภาวะอากาศเช่นเดียวกันกับประชาชนไทย

 

ประเทศแอฟริกาใต้: คดี ‘Deadly Air Case’

Image: Daylin Paul for the CER, https://gnhre.org/?p=15144

 

ปี 2019 กลุ่ม Environmental justice groups ได้รวมตัวยื่นฟ้องรัฐบาลแอฟริกาใต้ในฐานที่รัฐบาลล้มเหลวในการปรับปรุงระดับมลพิษทางอากาศที่อันตรายถึงชีวิต ในพื้นที่ Mpumalanga Highveld ที่ต้องเผชิญกับมลภาวะทางอากาศมาร่วมทศวรรษ เพราะพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ โดยพื้นที่ดังกล่าวเคยถูกประกาศให้เป็น ‘หนึ่งในสถานที่ที่เลวร้ายที่สุดในโลกเนื่องจากมลพิษทางอากาศในระดับสูง’ และแม้ว่าในปี 2007 รัฐบาลจะได้มีการประกาศใช้แผนการจัดการสิ่งแวดล้อมระดับชาติว่าด้วยพระราชบัญญัติคุณภาพอากาศ (National Environmental Management: Air Quality Act39 of 2004 (NAQA) แต่ยังคงล้มเหลวต่อการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศในพื้นที่ดังกล่าว[1]

การฟ้องคดีครั้งนี้ ได้ระบุถึงความล้มเหลวของรัฐในการปรับปรุงมลพิษทางอากาศในพื้นที่ Mpumalanga Highveld ว่าเป็นการละเมิดมาตรา 24 ของรัฐธรรมนูญแอฟริกาใต้ ที่รับรองสิทธิในสิ่งแวดล้อมที่ดี และเรียกร้องให้รัฐบาลต้องปฏิบัติและบังคับใช้แผนการจัดการคุณภาพอากาศในพื้นที่ดังกล่าว

ทั้งนี้ ตามรัฐธรรมนูญแอฟริกาใต้ มีบทบัญญัติรับรองสิทธิในสิ่งแวดล้อมที่ดี บัญญัติว่า

 

      “มาตรา 24(b) ทุกคนมีสิทธิ

  1. a) ต่อสิ่งแวดล้อมที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพหรือความเป็นอยู่ที่ดี และ
  2. b) ให้การปกป้องสิ่งแวดล้อมเพื่อประโยชน์ของคนรุ่นปัจจุบันและอนาคตผ่านมาตรการทางกฎหมาย และมาตรการอื่น ๆ สมเหตุสมผล
  3. ป้องกันมลพิษและความเสื่อมโทรมของระบบนิเวศ
  4. ส่งเสริมการอนุรักษ์และ

                iii. รักษาคุ้มครองการพัฒนาที่ยั่งยืนทางนิเวศวิทยาและการใช้ทพรัยากรธรรมชาติ ในขณะเดียวกันก็ส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมที่เป็นธรรม”[2]

 

คดีนี้ ศาลสูงสุดของแอฟริกาใต้ ตัดสินว่า ความล้มเหลวในการปรับใช้มาตรฐานคุณภาพอากาศระดับชาติเป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานต่อสิทธิในสิ่งแวดล้อมที่ดี ของผู้ที่อยู่อาศัย และสั่งให้รัฐบาลออกกฎระเบียบที่ใช้และบังคับใช้แผนการจัดการคุณภาพอากาศที่มีอยู่ โดยศาลยังได้ยืนยันถึงสิทธิในสิ่งแวดล้อมที่ดีกับการพัฒนาที่ยั่งยืนต่อคนในรุ่นถัดไป ว่า

    “เมื่อความล้มเหลวในการปฏิบัติตามมาตรฐานคุณภาพอากาศได้ปรากฏเป็นเวลานาน จึงมีความเป็นไปได้มากขึ้นที่สุขภาพ ความเป็นอยู่ และสิทธิมนุษยชนของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากอาศนั้นกำลังถูกคุกคามและละเมิด (ย่อหน้า 10) … โดยการพัฒนาที่ยั่งยืน ในมาตรา 24(b) กำหนดให้รัฐต้องพิจารณาผลกระทบระยะยาวของมลพิษต่อคนรุ่นอนาต (ย่อหน้า 41) -When the failure to meet air quality standards persists over a long period of time, there is a greater likelihood that the health, well-being, and human rights of the people subjected to that air is being threatened and infringed (para 10) … requires the state to consider the long-term impact of pollution on future generations (para 41)…”

 

คดี Jakarta Air case

Image: IQAir  https://www.iqair.com/newsroom/2021-decision-jakarta-air-pollution-lawsuit

 

ปี 2019 ประชาชนชาวอินโดนีเซีย จำนวน 32 คน ได้นำคดีมลพิษทางอากาศยื่นฟ้องประธานาธิบดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อมและป่าไม้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ผู้ว่าการเมืองจาร์กาตา (Jakarta) ผู้ว่าราชการจังหวัดบันเติน (Banten) และจังหวัดชวาตะวันตก (West Java) ณ ศาลกลางจาการ์ตา อันเนื่องมาจากความล้มเหลวที่จะจัดการกับปัญหามลภาวะอากาศในเมืองหลวงของประเทศ

การเติบโตของเมืองจาการ์ตาที่กำลังขยายตัว ทำให้จำนวนรถยนต์เพิ่มสูงขึ้น ขณะเดียวกันจำนวนโรงไฟฟ้าถ่านหินรอบเมืองก็เพิ่มขึ้น[3] ทำให้ส่งผลต่อปัญหามลภาวะทางอากาศที่เริ่มรุนแรงขึ้นในระหว่างปี 2011 เรื่อยมาจนถึงปี 2018 ที่ค่าความเข้มข้นโอโซน ค่าฝุ่น PM10 และ PM2.5 เกินค่ามาตรฐาน กลายเป็นปัญหาใหญ่และสร้างความกังวลให้กับประชาชนอย่างมาก แม้ว่าภาครัฐจะมีการประกาศใช้เกณฑ์คุณภาพอากาศ (the National Air Quality Standards: NAQS) และเกณฑ์คุณภาพอากาศระดับภูมิภาคของเมืองจาการ์ตา (Jakarta Province Regional Air Quality Standards: RAQS) แต่เกณฑ์คุณภาพอากาศดังกล่าวยังไม่เป็นไปตามค่ามาตรฐานคุณภาพอากาศขององค์กรอนามัยโลก World Health Organization (ค่ามาตรฐานคุณภาพอากาศเฉลี่ยรายปีที่ปลอดภัยของอินโดนีเซียกำหนดอยู่ที่ 15 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และค่ามาตรฐานที่ WHO กำหนดค่า PM2.5 เฉลี่ยรายปีที่ปลอดภัยอยู่ในระดับ 10 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร)[4]  อีกทั้ง จาการ์ตา ยังไม่มีเครื่องตรวจวัดค่าความเข้มข้นของฝุ่นละออง PM2.5 ในชั้นบรรยากาศ

ด้วยคุณภาพอากาศที่ย่ำแย่ในเมืองจาการ์ตาที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนที่อยู่อาศัยในเมือง ทั้งประธานาธิบดีและหน่วยงานรัฐข้างต้น ล้มเหลวในการตรวจสอบระดับความเข้มข้นของมลพิษอย่างเหมาะสม (โดยเฉพาะค่าฝุ่น PM2.5) และการบังคับใช้มาตรการคุ้มครองด้านสิ่งแวดล้อม โจทก์ได้ยืนยันว่าการละเลยต่อการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวถือเป็นการละเมิดสิทธิตามรัฐธรรมนูญต่อสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัยและดีต่อสุขภาพ ตามมาตรา 28H(1) ที่รับรองว่า

 

      “บุคคลทุกคนมีสิทธิที่จะมีชีวิต ทั้งร่างกายและจิตใจที่ดี มีบ้านและได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีและปลอดภัยต่อสุขภาพ และมีสิทธิที่จะเข้าถึงบริการทางสาธารณสุข[5]

 

การฟ้องคดีครั้งนี้เป็นการยืนยันสิทธิตามรัฐธรรมนูญของโจทก์ ที่ขอให้จำเลยจัดทำรายการแหล่งที่มาของมลพิษทางอากาศในกรุงจาการ์ตา ทั้งต้องพัฒนา และดำเนินการตามแผนที่ครอบคลุมเพื่อลดมลภาวะทางอากาศ ที่เป็นไปตามมาตรฐานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและปกป้องสุขภาพของประชาชน

การฟ้องคดีนี้ใช้เวลายาวนานกว่า 2 ปีและศาลสั่งให้ประธานาธิบดีต้องกำหนดมาตรฐานคุณภาพอากาศในระดับชาติที่ต้องเข้มงวดยิ่งขึ้น และกำหนดให้ผู้ว่าการเมืองจาการ์ตาต้องจัดทำรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทั้งรายงานสถานะคุณภาพอากาศในจาการ์ตาเป็นประจำทุกปี ทั้งต้องดำเนินการตามแผนการควบคุมมลพิษทางอากาศโดยมีส่วนร่วมจากประชาชน อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าเสียดายว่า ศาลปฏิเสธที่จะระบุว่าความล้มเหลวของรัฐบาลต่อการควบคุมมลพิษทางอากาศเป็นการละเมิดสิทธิตามรัฐธรรมนูญของผู้ฟ้องคดี[6]

 

ตัวอย่าง การสำรวจคดีทวงคืนอากาศสะอาด ได้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหามลภาวะทางอากาศที่รุนแรงเพิ่มขึ้นในหลายประเทศและกลายเป็นวิกฤตทางสิ่งแวดล้อมใหม่ที่ทั่วโลกำลังเผชิญหน้าร่วมกัน ประกอบกับในสภาวะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่กำลังเป็นภัยพิบัติใหญ่ต่อคนทุกคนบนโลกนี้ยิ่งเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาที่ทำให้เกิดความรุนแรง ภัยพิบัติจากสิ่งแวดล้อมอันส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ที่ดีของคนจำนวนมาก ทั้งยังทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำต่อการเข้าถึงสิทธิในสิ่งแวดล้อมที่ดีของแต่ละประเทศได้ชัดมากยิ่ง การแก้ไขวิกฤตการณ์นี้จึงเป็นหน้าที่ของคนทุกคน โดยเฉพาะกับรัฐบาลในการสร้างความตระหนักต่อปัญหาร่วมกัน และการลงมือแก้ไขปัญหาที่จริงจังโดยไม่หลงลืมสิทธิมนุษยชน เพื่อสร้างสังคมที่ทำให้ประชาชนทุกคนได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี สะอาด และยั่งยืน ที่จะสามารถส่งต่อสิ่งแวดล้อมที่ดีไปยังคนในรุ่นต่อไป

 

———————

[1] Dimakatso Sefatsa and Khumo Lesele, “Deadly Air: A case in defense of the Rights to Breathe Clean Air!”, GNHRE, online: https://gnhre.org/?p=15144.

[2] South African Constitution 1996, section 24.

Everyone has the right:

  1. a) to an environment that is not harmful to their health or well-being; and
  2. b) to have the environment protected, for the benefit of present and future generations, through reasonable legislative and other measures that
  3. prevent pollution and ecological degradation;
  4. promote conservation; and

                        iii. secure ecologically sustainable development and use of natural resources while promoting justifiable economic and social development.

[3] Benar News, Indonesian Court Finds Jokowi Negligent in Jakarta Air Pollution Case, 16 September 2021, https://www.benarnews.org/english/news/indonesian/pollution-ruling-09162021153530.html

[4] มูลนิธิสืบนาคะเสถียร, ประชาชนจาร์กาตาชนะคดีฟ้องร้องต่อรัฐในประเด็นอากาศสะอาด, เผยแพร่เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2021, https://www.seub.or.th/bloging/news/global-news/jakarta-air-pollution/.

[5] The 1945 Constitution of the Republic of Indonesia, Article 28H

            (1) Every person shall have the right to live in physical and spiritual prosperity, to have a home and to enjoy a good and healthy environment and shall have the right to obtain medical care.

[6] Greenpeace, Seven Indonesia’s State Officials Found Negligent for Jakarta Air Pollution, 16 September, 2021, https://www.greenpeace.org/southeastasia/press/44679/seven-indonesias-state-officials-found-negligent-for-jakarta-air-pollution/

ข่าวสารที่เกี่ยวข้อง