บรรษัทผู้ปล่อยก๊าซคาร์บอนยักษ์ใหญ่ถูกร้องเรียนการละเมิดสิทธิมนุษยชน

แปลจากบทความข่าว “World’s largest carbon producers face landmark human rights case” โดย John Vidal

ตีพิมพ์ในเว็บไซต์ข่าว The Guardian (วันที่ 27 กรกฎาคม 2559) https://www.theguardian.com/environment/2016/jul/27/worlds-largest-carbon-producers-face-landmark-human-rights-case

แปลโดย: อารียา ติวะสุระเดช

———————————————————

เหล่าบรรษัทผลิตน้ำมัน ถ่านหิน ซีเมนต์และเหมืองที่ใหญ่ที่สุดของโลกมีเวลา 45 วันในการชี้แจงต่อคำร้องเรียนเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อประชาชนหลายล้านคนในฟิลิปปินส์จากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในการประกอบธุรกิจของบรรษัท

3500
พายุไต้ฝุ่นไห่เยี่ยน หรือที่รู้จักกันในชื่อท้องถิ่นพายุไต้ฝุ่นโยลันดา ที่เกิดขึ้นในปี 2556 ถือเป็นพายุที่รุนแรงที่สุดเท่าที่เคยมีการบันทึกมา (ภาพโดย: Erik de Castro/ REUTERS)


ในคดีบรรทัดฐานที่สำคัญนี้ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติฟิลิปปินส์ในฐานะองค์กรตามรัฐธรรมนูญที่มีอำนาจตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน ดำเนินการส่งหนังสือร้องเรียนที่มีเนื้อหากว่า 60 หน้าว่าด้วยเรื่องผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนให้แก่บรรษัทผู้ผลิตและปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนยักษ์ใหญ่ (Carbon Majors) 47 บรรษัท ซึ่งประกอบด้วยบรรษัทยักษ์ใหญ่อย่าง เชลล์ (Shell), บีพี (BP), เชฟรอน (Chevron), บีเอชพี บิลิตัน (BHP Billiton) และ แองโกล อเมริกัน (Anglo American) ในหนังสือร้องเรียนระบุว่า ธุรกิจของบรรษัททั้ง 47 บรรษัทละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานอันได้แก่ “สิทธิในชีวิต อาหาร น้ำดื่มสะอาด สุขอนามัย ที่อยู่อาศัยที่เหมาะสม และสิทธิในการกำหนดเจตจำนงของตนเอง”
ถือได้ว่านี่เป็นก้าวแรกสู่ความเป็นไปได้ในดำเนินกระบวนการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนของบรรษัทผู้ปล่อยคาร์บอนอย่างเป็นทางการโดยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติฟิลิปปินส์ และจะถือเป็นกรณีแรกในโลกที่มีการดำเนินการตรวจสอบโดยหน่วยงานรัฐ
หนังสือร้องเรียนชี้ว่า บรรษัททั้ง 47 บรรษัทต้องรับผิดชอบต่อผลกระทบที่เกิดขึ้นในประเทศฟิลิปปินส์จากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของธุรกิจ อีกทั้งเรียกร้องให้บรรษัททั้งหมดชี้แจงว่าบรรษัทจะดำเนินการ “กำจัด เยียวยาและป้องกัน” การละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างไร
หนังสือร้องเรียนยังเรียกร้องให้มีการพิจารณาตรวจสอบผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความเป็นกรดของน้ำทะเลอย่างเป็นทางการ รวมทั้งให้ตรวจสอบว่า บรรษัทผู้ผลิตคาร์บอนยักษ์ใหญ่ (Carbon Majors) เหล่านี้เพิกเฉยต่อความรับผิดชอบของบรรษัทหรือไม่
ประเทศฟิลิปปินส์เป็นประเทศหมู่เกาะที่ประกอบไปด้วยเกาะกว่า 7,000 เกาะ และเป็นหนึ่งในประเทศที่เสี่ยงต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากที่สุดในโลก (most vulnerable)
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศฟิลิปปินส์เผชิญกับพายุหมุนเขตร้อนขนาดใหญ่ (Super Cyclone) ที่สร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อประเทศไปแล้วถึง 4 ลูก และยังมีรายงานปัญหาน้ำท่วมและคลื่นความร้อนที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งหมดนี้ต่างมีความเกี่ยวข้องกับภาวะโลกร้อนที่มนุษย์สร้างขึ้น
พายุไต้ฝุ่นไห่เยี่ยน หรือที่ชาวฟิลิปปินส์รู้จักกันในชื่อพายุไต้ฝุ่นโยลันดา ถือเป็นมหาพายุไต้ฝุ่นที่รุนแรงที่สุดเท่าที่เคยมีการบันทึกมา ในปี 2556 มียอดผู้เสียชีวิตกว่า 6,000 คนและทำให้คนอีกว่า 650,000 คนต้องอพยพย้ายจากที่อยู่อาศัย
กลุ่มผู้ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการสิทธิฯ ประกอบด้วยผู้รอดชีวิตจากพายุไต้ฝุ่นและองค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs) และมีประชาชนฟิลิปปินส์กว่า 31,000 คนร่วมสนับสนุน
“พวกเราต้องการความยุติธรรม ความวิปริตของสภาพภูมิอากาศได้พลัดพรากเราจากบ้านและคนที่เรารัก บรรษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้ต้องรับผิดชอบต่อผลกระทบที่เกิดขึ้นจากธุรกิจของบรรษัท” เอลมา เรเยส (Elma Reyes) ชาวเกาะอลาบัต จังหวัดเกซอน กล่าว เธอคือผู้รอดชีวิตจากพายุไต้ฝุ่นยักษ์รามสูรในปี 2551 และหนึ่งในกลุ่มผู้ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติฟิลิปปินส์
กระบวนการพิจารณาสอบสวนตามกฎหมายจะเริ่มต้นในช่วงเดือนตุลาคมของปีนี้หลังจากบรรษัททั้ง 47 บรรษัทส่งเอกสารคำชี้แจงตอบกลับมา ทั้งนี้ แม้ว่าตามกระบวนการทั้ง 47 บรรษัทจะมีต้องเข้าร่วมเวทีการไต่สวนสาธารณะ แต่ทางคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติฟิลิปปินส์มีอำนาจในการบังคับบรรษัทได้เพียง 10 บรรษัทที่มีสำนักงานในประเทศฟิลิปปินส์เท่านั้นให้ต้องเข้าร่วมการไต่สวน
บรรษัทที่อยู่ในบังคับต้องเข้าร่วมเวทีไต่สวนสาธารณะได้แก่ เชฟรอน, เอ็กซอนโมบิล, บีพี, รอยัล ดัตช์ เชลล์, โททาล, บีเอชพี บิลิตัน, แองโกล อเมริกัน, ลาฟาร์จ, โฮลซิม และ ไทเฮโย ซีเมนต์ คอร์เปอเรชั่น ทางคณะกรรมการสิทธิฯ มีอำนาจขอความช่วยเหลือจากสหประชาชาติในการประสานกดดันให้บรรษัทที่ไม่ยอมเข้าร่วมต้องให้ความร่วมมือกับกระบวนการตรวจสอบ
“นี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนระดับชาติทำหน้าที่อย่างเป็นทางการต่อกรณีผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความรับผิดชอบของภาคเอกชน” เซลดา โซเรียโน (Zelda Soriano) ที่ปรึกษาด้านกฎหมายและการเมืองของกรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หนึ่งในกลุ่มผู้ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติฟิลิปปินส์ กล่าว
“การร้องเรียนครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการสร้างบรรทัดฐานด้านจริยธรรมและด้านกฎหมายในการทำให้ผู้ก่อมลพิษรายใหญ่ต้องรับผิดชอบต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนอันเนื่องมาจากกระบวนการผลิตและใช้พลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล ไม่ว่าจะเป็นเนเธอร์แลนด์ สหรัฐอเมริกาหรือที่ใด ผู้คนกำลังใช้กระบวนการทางกฎหมายบังคับให้รัฐบาลของตนเองรับผิดชอบและปฏิบัติหน้าที่ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” เธอกล่าว
รายชื่อบรรษัทผลิตคาร์บอนขนาดใหญ่ทั้ง 47 บรรษัทดังกล่าว อ้างอิงข้อมูลจากงานวิจัยโดย ริชาร์ด ฮีด (Richard Heede) ผู้อำนวยการสถาบันความรับผิดชอบด้านสภาพภูมิอากาศ (Climate Accountability Institute) ในรัฐโคโลราโด ประเทศสหรัฐอเมริกา ในปี 2556 ริชาร์ดชี้ว่า 2 ใน 3 ของปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ถูกปล่อยออกมาตั้งแต่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมมาจากบรรษัทข้ามชาติเพียง 90 บรรษัทเท่านั้น
แม่ชีชาวฟิลิปปินส์ร่วมเดินขบวนสมานฉันท์เพื่อสภาพภูมิอากาศ ณ กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ พฤศจิกายน 2558 (ภาพโดย: Aaron Favila/AP)

ริชาร์ด ฮีดกล่าวว่า จำนวนคาร์บอนไดออกไซด์ที่บรรษัทผลิตคาร์บอนยักษ์ใหญ่เหล่านี้ปล่อยออกสู่ชั้นบรรยากาศคือประมาณ 315 กิกะตัน เทียบเท่าประมาณ 22% ของก๊าซเรือนกระจกที่ภาคอุตสาหกรรมทั่วโลกปล่อยออกมาระหว่างปี 2553-2556
“เราภาวนาว่า คณะกรรมการสิทธิฯ จะใส่ใจต่อข้อเรียกร้องที่ต้องการให้ผู้กำหนดนโยบายและฝ่ายนิติบัญญัติพัฒนากลไกที่มีประสิทธิภาพในการกำกับดูแลความรับผิดชอบของบรรษัทและผู้ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสามารถเข้าถึงได้ง่าย” บาทหลวงเอ็ดวิน การิเกซ (Father Edwin Gariguez) เลขานุการบริหารกลุ่ม Caritas Phillippines และผู้ได้รับรางวัลสิ่งแวดล้อมจากมูลนิธิโกล์ดแมน กล่าว
แม้ว่าคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติฟิลิปปินส์จะมิใช่องค์กรศาลและไม่มีอำนาจในการบังคับให้บรรษัทลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกหรือลงโทษปรับแก่บรรษัท แต่คณะกรรมการฯ มีอำนาจในการทำข้อเสนอแนะถึงรัฐบาลและจะเป็นการเพิ่มแรงกดดันในระดับโลกในการกระตุ้นโน้มน้าวให้ผู้ถือหุ้นถอนหุ้นจากการลงทุนในบรรดาบรรษัทที่ผลิตและปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนยักษ์ใหญ่ต่างๆ
การตรวจสอบของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติฟิลิปปินส์ครั้งนี้ถือเป็นกรณีล่าสุดของการร้องเรียนดำเนินคดีความรับผิดเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อรัฐและบรรษัทเอกชนที่กำลังกระแสเพิ่มสูงขึ้น เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ศาลสูงสุดของประเทศเนเธอร์แลนด์สั่งให้รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ต้องดำเนินการอย่างจริงจังในการจัดการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อปกป้องพลเมืองของประเทศให้ดีขึ้น คำตัดสินนี้ถือเป็นคดีแรกของโลกที่มีการฟ้องร้องให้มีการแสดงความรับผิดชอบต่อปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะมีการยื่นฟ้องรัฐบาลสหรัฐอเมริกาหลายคดีเพื่อกดดันเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินปฏิบัติการอย่างจริงจังมากขึ้นในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่ก็มักลงท้ายด้วยการถูกยกฟ้องและแพ้คดี

ข่าวสารที่เกี่ยวข้อง