#คืนปอดให้ประชาชน – เครือข่ายประชาชนภาคเหนือเตรียมฟ้องนายกฯ ปมฝุ่นพิษ PM 2.5 เข้าขั้นวิกฤต

หากนับตั้งแต่ช่วงปี 2562 ถึงปัจจุบัน เป็นเวลากว่า 5 ปี ที่ปัญหาฝุ่น PM2.5 รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ทุกปี โดยไม่มีท่าทีว่าการแก้ปัญหาจะดีขึ้น

เริ่มต้นปี 2566 หลายพื้นที่ของประเทศไทยเผชิญกับสถานการณ์วิกฤตมลพิษทางอากาศอย่างฝุ่นละออง PM 2.5 มาอย่างต่อเนื่องจนถึงขณะนี้ โดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทย

วันนี้ (7 เม.ย. 66) ตั้งแต่ช่วงเวลาประมาณ 10.15 – 15.23 น. จ.เชียงใหม่ มีค่าคุณภาพอากาศจัดว่าอยู่ในระดับที่มีผลกระทบต่อทุกคนอย่างรุนแรง และถูกจัดอันดับให้เป็นเมืองที่อากาศแย่ที่สุดติดอันดับ 1 ของโลก จากการรายงานของ iqair.com โดยระบุว่าความเข้มข้น PM 2.5 ในเชียงใหม่ขณะนี้เป็น 47.6 เท่าของค่าแนวทางคุณภาพอากาศประจำปีขององค์การอนามัยโลก

ที่มา : https://www.iqair.com/

ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน เชียงใหม่ประสบปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 เกินค่ามาตรฐานมาอย่างต่อเนื่องและทวีความรุนแรงมากขึ้นในช่วงปลายเดือนมีนาคมถึงช่วงต้นเดือนเมษายน

เมื่อวันที่ 6 เม.ย.2566 ผู้ว่าฯจังหวัดเชียงใหม่ ได้ออกประกาศ ให้หน่วยงานภาครัฐทุกแห่ง จัดระบบการทำงานที่บ้าน และขอความร่วมมือจากภาคเอกชนให้พิจารณาอนุญาตให้พนักงงานทำงานที่บ้านเช่นเดียวกัน (Work from Home)

ผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนจากสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ของประเทศไทยขณะนี้ ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข พบว่าเพียง 3 เดือน (1 ม.ค. – 31 มี.ค. 2566) มีผู้ป่วยที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศสะสมแล้วกว่า 2,019,854 ราย เฉพาะเดือนมีนาคมนี้ พบกลุ่มโรคที่เจ็บป่วยสูงสุด ได้แก่ กลุ่มโรคระบบทางเดินหายใจ

วันนี้ ‘หมอหม่อง’ โพสต์ Facebook : Rungsrit Kanjanavanit กล่าวถึง งานศึกษา “Lung adenocarcinoma promotion by air pollutants” ที่เผยแพร่ทางเว็บไซต์วารสาร nature วารสารที่มีค่าเฉลี่ยที่ได้รับการอ้างอิง (impact factor) สูงที่สุด และตีพิมพ์เฉพาะการศึกษาที่มีคุณภาพสูงและ จะส่งผลกระทบต่อวงการวิทยาศาสตร์ของโลก  ได้เผยแพร่งานศึกษา เมื่อวันที่ 5 เม.ย. 2566  เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของการเกิด “มะเร็งปอดในผู้ที่ไม่สูบบุหรี่” และ “กลไกการเกิดมะเร็งจาก PM 2.5” ในชุมชนแต่ละแห่งของประเทศตัวอย่างงานศึกษา ได้แก่ อังกฤษ เกาหลีใต้ และไต้หวัน รวมผู้ป่วยในการศึกษา 32,957 คน พบว่าการเกิด มะเร็งปอด ที่เกิดจากการกลายพันธุ์ของยีน (EGFR-driven lung cancer) ที่พบบ่อยในผู้ป่วยมะเร็งปอดในผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ มีความสัมพันธ์กับ ระดับ PM2.5 ที่สูงขึ้นอย่างชัดเจน โดยเมืองที่มีค่า PM2.5 เฉลี่ยตลอดปีอยู่ที่ 40 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (μg/m3) จะมีอัตราเกิดมะเร็งปอดมากกว่า เมืองที่มีระดับ PM2.5 10 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร(μg/m3) ถึงราว 7 เท่า ซึ่งเชียงใหม่มีค่า PM2.5 เฉลี่ยตลอดปีอยู่ที่ ประมาณ 40 μg/m3

พื้นที่ จ.เชียงใหม่ มีกรณีที่สอดคล้องกับงานวิจัย“มะเร็งปอด” กับ “PM 2.5”  เมื่อเดือนกันยายน 2565 ที่ ค้นพบว่ามลพิษทางอากาศโดยเฉพาะ PM 2.5 นำไปสู่การเกิดโรคมะเร็งปอดได้จริง แม้ไม่เคยสูบบุหรี่ กรณี รศ.ดร.ภาณุวรรณ จันทวรรณกูร อาจารย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่เสียชีวิตจากโรคมะเร็งปอด และ คุณหมอกฤตไท ธนสมบัติกุล ที่เป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย ทั้งสองล้วนใช้ชีวิตอยู่ที่เชียงใหม่ ซึ่งเป็นหนึ่งในจังหวัดที่คุณภาพอากาสแย่ที่สุด และจากสถิติผู้ป่วยมะเร็งปอด ภาคเหนือยังเป็นภูมิภาคที่มีอัตราการป่วยเป็นมะเร็งปอดมากที่สุดเมื่อเทียบกับภาคอื่นด้วย

ที่ผ่านมา แม้ว่าจะมีกฎหมายหลายฉบับที่สามารถใช้เป็นเครื่องมือ และรวมถึงแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง ตั้งแต่ปี 2562 แต่การดำเนินการตามแผนข้างต้นก็ยังไม่ประสบผลสำเร็จมากนัก แสดงให้เห็นถึงความไม่ใส่ใจในการแก้ปัญหาของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการปกป้องคุณภาพชีวิตของประชาชน

เมื่อรัฐบาลและหน่วยงานระดับท้องถิ่นต่างไม่ได้มีการรับมืออย่างกระตือรือร้นและมีประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 งผลให้ประชาชนจำนวนมากต้องเผชิญสภาวะอันเลวร้ายและเสี่ยงภัยต่อโรคร้ายทางสุขภาพทั้งในระยะยาวและในระยะเฉพาะหน้า

วันจันทร์ที่ 10 เมษายนนี้ เครือข่ายประชาชนภาคเหนือจึงจะยื่นฟ้องต่อศาลปกครองเชียงใหม่ เพื่อให้นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีที่มีส่วนเกี่ยวข้อง คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ และคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) ดำเนินการตาม พ.ร.บ. ส่งเสริมเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ, แผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง, พ.ร.บ. หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เพื่อให้มีการปฏิบัติการตามกฎหมายและนโยบายที่ได้มีการจัดทำไว้เพื่อลดทอนความรุนแรงของสถานการณ์ฝุ่นที่เกิดขึ้นในห้วงเวลานี้

#คืนปอดให้ประชาชน

บทความที่เกี่ยวข้อง