เมื่อกฎหมายสิ่งแวดล้อมถูกทำให้กลายเป็นกฎหมายส่งเสริมการลงทุน

ปมด้อยของรัฐบาลเผด็จการทหาร คสช. ก็คือไม่เป็นที่ยอมรับของประชาคมโลก  นอกจากการเร่งฟื้นฟูความเชื่อมั่นและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในเรื่องประชาธิปไตยที่ต้องประกาศให้แจ้งชัดว่าจะจัดให้มีการเลือกตั้งโดยเร็วได้เมื่อไหร่่แล้ว  ยังมีวิธีกลบปมด้อยอยู่อีกเรื่องหนึ่งนั่นก็คือต้องทำให้เศรษฐกิจเจริญเติบโตให้ได้ในสภาวะที่บ้านเมืองปกครองด้วยระบอบเผด็จการ ทั้งสองเรื่องเป็นโจทย์ใหญ่ที่ไขว้ไปมาจากความไม่ชัดเจนของประชาคมโลกเองว่าจะจัดลำดับความสำคัญให้เรื่องไหนมาก่อนเรื่องไหนมาทีหลัง  มันจึงทำให้ คสช. ตอบสนองในเรื่องที่ง่ายกว่าก่อน  นั่นก็คือการสร้างความเชื่อมั่นในการลงทุนให้แก่นักลงทุนทั้งในและนอกประเทศ  ส่วนเรื่องประชาธิปไตยและการเลือกตั้งเป็นเรื่องที่ คสช. ไม่อยากให้เกิดขึ้นเลย  อย่างน้อยก็ในช่วงระยะเวลาอันใกล้นี้ (ซึ่งระยะเวลาสามปีกว่านับแต่รัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557  ก็เลยช่วงระยะเวลาอันใกล้มามากแล้ว)       ดังจะเห็นได้ว่าหลังจากรัฐประหารผ่านมาได้สองสัปดาห์  พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาในฐานะหัวหน้า คสช.  ออกประกาศ คสช. ฉบับที่ 55/2557  เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2557  แต่งตั้งตัวเองเป็นประธานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือบีโอไอ  เพราะเล็งเห็นว่ารัฐประหารครั้งนี้ต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการส่งเสริมการลงทุนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้เจริญเติบโตให้ได้       นอกจากหน่วยงาน/องค์กรและกลไกทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ที่ คสช. ควบคุมไว้ทั้งหมดในฐานะที่เป็นรัฐบาลแล้ว  อุปสรรคสำคัญอีกเรื่องหนึ่งก็คือปัญหาของการบังคับใช้กฎหมายสิ่งแวดล้อมในการกลั่นกรองและพิจารณาโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ประเภทต่าง ๆ ท่ี่ไม่เอื้อต่อการกระตุ้นการใช้จ่ายเงินภาครัฐและเอกชนเพื่อการลงทุนในกิจการสาธารณูปโภค  โครงสร้างพื้นฐานและภาคอุตสาหกรรมและบริการมากนัก  ก่อนหน้าที่หัวหน้า คสช. จะลงนามแต่งตั้งตัวเองเป็นประธานกรรมการบีโอไอหนึ่งสัปดาห์  แนวคิดเรื่อง EIA Fast Track ก็ผุดขึ้นมาเพื่อต้องการให้หน่วยงานที่ทำหน้าที่พิจารณาผ่านความเห็นชอบรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม  หรือ EIA  สร้างช่องทางลัดพิเศษขึ้นมาเพื่อทำให้ระยะเวลาการพิจารณาผ่านความเห็นชอบ EIA สั้นที่สุดเท่าที่จะทำได้ (อย่างมากที่สุดต้องไม่เกิน 105 วัน) สำหรับโครงการนำร่องในการก้าวขึ้นสู่การเป็นรัฐบาลของ คสช. อันได้แก่โครงการรถไฟทางคู่ 5 สาย  รถไฟฟ้าหลายเส้นทาง  และมอเตอร์เวย์พัทยา-มาบตาพุด  เป็นต้น

กลางปี 2558  แนวคิดเรื่อง EIA Bypass ก็เกิดขึ้นตามมาจากข้อเสนอของหัวหน้า คสช. ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (กนพ.)  ตามคำสั่ง คสช. ที่ 72/2557  เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ  ประกาศ ณ วันที่ 19 มิถุนายน 2557  ที่ลงนามแต่งตั้งตัวเองเป็นประธานได้เสนอให้มีการผ่อนปรนหลักเกณฑ์  กฎ  ระเบียบและเงื่อนไขไม่ต้องปฏิบัติตามข้อบังคับของกฎหมายสิ่งแวดล้อมเพื่อหลีกเลี่ยงการจัดทำและพิจารณา EIA บางขั้นตอนให้มีระยะเวลาสั้นลงเพื่อผลักดันเขตเศรษฐกิจพิเศษมีผลเชิงรูปธรรมเร็วขึ้น  โดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัดหรือจัดให้มีคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณา EIA ด้านอุตสาหกรรมและระบบสาธารณูปโภค (คชก.) ระดับจังหวัด[[1]]ที่มีการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษสามารถเป็นผู้อนุมัติ/อนุญาต EIA ได้เอง  ไม่ต้องผ่านกระบวนการและขั้นตอนการพิจารณา EIA แบบเดิมที่ใช้ระยะเวลายาวนานในการพิจารณาผ่านความเห็นชอบอีกต่อไป

ปลายปี 2558  ความพยายามที่จะทำ EIA Fast Track  และ  EIA Bypass  ยิ่งชัดเจนขึ้น  โดยคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบมาตรการเร่งรัดโครงการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (PPP Fast Track)  เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2558  ทั้งนี้ ก็เพื่อให้ขั้นตอนในการดำเนินการ  ประกอบด้วย  การจัดเตรียมโครงการ  การเสนอโครงการ  การคัดเลือกเอกชน  และการคัดเลือกโครงการ  สามารถจัดทำไปพร้อมกับการจัดทำรายงานการศึกษาความเหมาะสมของโครงการ (Feasibility Study : FS)  และการจัดทำ EIA  โดยที่ไม่จำเป็นต้องรอให้ FS  หรือ EIA  ผ่านการพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อน  ที่แต่เดิมหน่วยงานต่าง ๆ จะต้องศึกษา  พิจารณาและอนุมัติ/อนุญาตตามขั้นตอนต่าง ๆ ที่ถูกกำหนดไว้  เรียงลำดับดังนี้  เช่น  การศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ  การศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม  การจัดเตรียมโครงการ  การเสนอโครงการ  การคัดเลือกเอกชน  และการคัดเลือกโครงการ  ฯลฯ  ตามลำดับก่อนหลัง  แต่มติ ครม. ดังกล่าวสามารถให้หน่วยงานต่าง ๆ ศึกษา  พิจารณาและอนุมัติ/อนุญาตตามขั้นตอนในส่วนที่เกี่ยวข้องกับอำนาจหน้าที่ของตัวเองไปพร้อม ๆ กันหรือคู่ขนานกันไปได้เลย  ไม่ต้องรอลำดับก่อนหลังอีกต่อไป  ซึ่งรัฐบาลอ้างว่าเป็นการปฏิรูประบบการจัดซื้อจัดจ้างใหม่ที่สามารถย่นระยะเวลาให้กับโครงการที่เอกชนเข้าร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ  จากระยะเวลาอย่างน้อย 1 ปี 10 เดือน  เหลือเพียง 9 เดือนเท่านั้น

เบื้องต้น  คณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (PPP)  ได้มีมติในการประชุมครั้งที่ 6/2558  เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2558  อนุมัติโครงการขนาดใหญ่ของกระทรวงคมนาคมที่มีความพร้อมในการดำเนินการตามมาตรการ PPP Fast Track  จำนวน 5 โครงการ  รวมมูลค่าการลงทุนทั้งสิ้นประมาณ 334,207 ล้านบาท  ประกอบด้วย  โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย – มีนบุรี  มูลค่าโครงการ 56,725 ล้านบาท  โครงรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว – สำโรง  มูลค่าโครงการ 54,768 ล้านบาท  โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง – บางแคและช่วงบางซื่อ – ท่าพระ  มูลค่าโครงการ 82,600 ล้านบาท  โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางประอิน – นครราชสีมา  มูลค่าโครงการ 84,600 ล้านบาท  และโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางใหญ่ – กาญจนบุรี  มูลค่าโครงการ 55,620 ล้านบาท

การปูทางเพื่อการนี้มีมาเป็นลำดับ  ไม่ว่าจะเป็นคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2559  เรื่อง การยกเว้นการใช้บังคับกฎหมายว่าด้วยการผังเมืองและกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคารในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ  ลงวันที่ 20 มกราคม 2559  เพื่อขยายอำนาจ ม.44  ตามคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 17/2558  เรื่อง การจัดหาที่ดินเพื่อใช้ประโยชน์ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ  ลงวันที่ 15 พฤษภาคม 2558  ที่กำหนดให้ที่ดินในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษเฉพาะ 3 จังหวัด  คือ  บริเวณตำบลป่าไร่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว  ตำบลสำนักขาม อ.สะเดา จ.สงขลา  และอำเภอเมือง จ.หนองคาย  ไม่ตกอยู่ภายใต้บังคับกฎหมายผังเมือง  เปลี่ยนเป็นยกเว้นการบังคับใช้กฎหมายผังเมืองครอบคลุมพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษทั้งหมด ๑๐ จังหวัด  ได้แก่  เขตเศรษฐกิจพิเศษจังหวัดตาก  มุกดาหาร  สระแก้ว  สงขลา  ตราด[[2]]  หนองคาย  นราธิวาส  เชียงราย  นครพนม  กาญจนบุรี[[3]]

คำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 4/2559  เรื่อง การยกเว้นการใช้บังคับกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมสำหรับการประกอบกิจการบางประเภท  ลงวันที่ 20 มกราคม 2559  เพื่อขยายอำนาจ ม.44  ให้ยกเว้นการบังคับใช้กฎหมายผังเมืองในโรงงานบางประเภทเพิ่มขึ้นอีก  เช่น  โรงไฟฟ้าขยะ  โรงไฟฟ้าชีวมวล  หรือโรงไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงอื่น ๆ  โรงงานกำจัดขยะและของเสียต่าง ๆ  เป็นต้น

คำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 9/2559  เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม  ลงวันที่ 7 มีนาคม 2559  เพื่อยกเว้นโครงการด้านคมนาคมขนส่ง  การสร้างเขื่อนและชลประทาน  การป้องกันสาธารณภัย  โรงพยาบาล  และที่อยู่อาศัย  สามารถจัดหาผู้รับเหมาเอกชนเพื่อดำเนินโครงการหรือกิจการได้โดยไม่ต้องรอให้ EIA ได้รับความเห็นชอบเสียก่อน

คำสั่งว่าด้วยระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก  หรือ Eastern Economic Corrodor : EEC  ได้แก่  คำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 2/2560  เรื่อง การพัฒนา EEC  คำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 28/2560  เรื่อง มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการพัฒนา EEC  และคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 47/2560  เร่ื่อง ข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ในที่ดินในพื้นที่ EEC  โดยรวมทั้งสามคำสั่งดังกล่าวมีขึ้นมาเพื่อแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายการพัฒนา EEC  และคณะกรรมการบริหารการพัฒนา EEC  ให้มีอำนาจและหน้าที่ส่งเสริมและอำนวยความสะดวกทางการค้าและการลงทุนเป็นหลักด้วยการ (1) กำหนดสิทธิประโยชน์แก่ผู้ลงทุน  (2) ให้ผู้ลงทุนเช่าที่ดินระยะยาว  (3) ยกเว้นบังคับใช้กฎหมายผังเมืองและยกเลิกผังเมืองรวมสามจังหวัดที่ไม่สอดคล้องกับแผนผังการใช้ประโยชน์ที่ดินและแผนผังการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภคในพื้นที่ EEC  ได้แก่  จังหวัดฉะเชิงเทรา  ชลบุรีและระยอง  (4) ให้มี คชก. พิจารณา EIA/EHIA ของโครงการหรือกิจการในพื้นที่ EEC เป็นการเฉพาะ  โดยว่าจ้างจากผู้ชำนาญการต่างประเทศที่ไม่จำเป็นต้องมีสัญชาติไทยก็ได้  และให้มีค่าตอบแทนพิเศษแก่ คชก. เฉพาะพื้นที่ EEC ด้วย  และ (5) ต้องเร่งรัดให้การพิจารณา EIA/EHIA สำหรับโครงการหรือกิจการในพื้นที่่ EEC แล้วเสร็จให้ได้ภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่ได้รับรายงาน

รวมถึงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2560  ให้ยุบคณะกรรมการองค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (กอสส.)  ที่เป็นองค์กรอิสระทำหน้าที่ให้ความเห็นประกอบรายงานการประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ  หรือ EHIA  ก่อนมีการดำเนินโครงการหรือกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง  เพื่อยึดอำนาจผูกขาดในการพิจารณาให้ความเห็นชอบ EHIA กลับมาอยู่ในมือของสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.)  คณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณา EIA/EHIA (คชก.)  และคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กกวล.) เช่นเดิม  หลังจากที่ถูก กอสส. แย่งชิง  แทรกแซงและลดทอนอำนาจผูกขาดในการพิจารณาให้ความเห็นชอบ EHIA ไปนานกว่าเจ็ดปีนับแต่เดือนมิถุนายน 2553

ทั้งหมดที่กล่าวมาคือลำดับการก่อตัวเพื่อสร้างเหตุผลและความชอบธรรมในการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายสิ่งแวดล้อมเฉพาะในส่วนที่ว่าด้วยการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมเพียงส่วนเดียว  แทนที่จะแก้ไขทั้งฉบับเพื่อทำให้มิติการพัฒนาตระหนักถึงคุณภาพสิ่งแวดล้อม  ทรัพยากรธรรมชาติและคุณภาพชีวิตของประชาชนเกิดความสมดุลย์และยั่งยืนมากยิ่งขึ้น  โดยเฉพาะกฎหมายสิ่งแวดล้อมฉบับที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันหรือพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ.2535 แม้โดยรวมจะไม่ดีมากนักแต่ก็มีพัฒนาการในด้านการมีส่วนร่วมของประชาชนดีขึ้นมาเป็นลำดับ

ดังนั้น  หากจะต้องแก้ไขปรับปรุงกฎหมายสิ่งแวดล้อมก็ควรแก้ไขปรับปรุงให้การมีส่วนร่วมของประชาชนทันสมัยขึ้นด้วยการเพิ่มบทบัญญัติว่าด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน  หรือสิทธิชุมชน  หรือเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) ของสหประชาชาติที่ประชาคมโลกรวมทั้งประเทศไทยตกลงร่วมกันที่จะใช้เป็นกรอบในการดำเนินงานด้านการพัฒนาใส่ลงไปในกฎหมายสิ่งแวดล้อมฉบับใหม่  รวมถึงการเพิ่มบทบัญญัติว่าด้วยการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Environmental Assessment : SEA) เข้ามาเพื่อประเมินศักยภาพพื้นที่และความต้องการใช้ประโยชน์ทางยุทธศาสตร์สำหรับนโยบาย  โครงการหรือกิจการที่การจัดทำ EIA/EHIA ไม่สามารถตอบสนองการประเมินผลกระทบได้รอบด้านและครบถ้วน  และปรับปรุงกระบวนการและขั้นตอนในการจัดทำและพิจารณา EIA/EHIA ด้วยการให้มีองค์กรอิสระที่ไม่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลครอบงำของเจ้าของโครงการและหน่วยงานผูกขาดอำนาจและหน้าที่ในการพิจารณาให้ความเห็นชอบ EIA/EHIA ของรัฐ  คือ  สผ.  คชก.  และ กกวล. ฝ่ายเดียวอีกต่อไป

แต่ปัจจุบัน ‘ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….’  หรือร่างกฎหมายสิ่งแวดล้อมฉบับแก้ไขเพิ่มเติมที่เสนอโดย ครม. ชุดที่มีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาเป็นนายกรัฐมนตรีถูกส่งต่อไปให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2560  ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาอยู่ในขณะนี้กลับทำตรงกันข้าม  โดยมุ่งแก้ไขเฉพาะในส่วนที่ว่าด้วยการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก  เพื่อต้องการทำให้ระยะเวลาในการจัดทำและพิจารณาผ่านความเห็นชอบ EIA/EHIA มีขั้นตอนและกระบวนการที่ลัดสั้นที่สุดเท่าที่จะทำได้  เป็นเสมือนการสร้างช่องทางด่วนหรือช่องทางลัดเพื่อมุ่งเอื้อประโยชน์ให้แก่การลงทุนมากเกินไปจนละเลยคุณภาพชีวิตของประชาชน  ด้วยการนำคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 9/2559 มาขยายความให้ครอบคลุมโครงการหรือกิจการมากขึ้นกว่าเดิมใส่ลงไปในมาตรา 50 วรรคสี่ ที่แต่เดิมยกเว้นเฉพาะโครงการด้านคมนาคมขนส่ง  การสร้างเขื่อน  การป้องกันสาธารณภัย  โรงพยาบาล  และที่อยู่อาศัย  ให้สามารถจัดหาผู้รับเหมาเอกชนเพื่อดำเนินโครงการหรือกิจการได้โดยไม่ต้องรอให้ EIA ได้รับความเห็นชอบเสียก่อน  โดยเพิ่มโครงการหรือกิจการด้านความมั่นคงทางพลังงานเข้ามาอีกประเภทหนึ่ง  นั่นก็คือโครงการหรือกิจการเกี่ยวกับโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงชนิดต่าง ๆ โดยเฉพาะถ่านหินที่รัฐกำลังผลักดันให้เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้  เช่น  โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินจังหวัดกระบี่  โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา จ.สงขลา ที่เพิ่งถูกสลายการชุมนุมและฟ้องคดีโดยรัฐเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา  เป็นต้น  รวมถึงโครงการหรือกิจการจากสัมปทานขุดเจาะสำรวจและผลิตปิโตรเลียมทั้งทะเลและบนบก  ก็จะถูกยกเว้นด้วยการสามารถจัดหาผู้รับเหมาเอกชนเพื่อดำเนินโครงการหรือกิจการได้โดยไม่ต้องรอให้ EIA ได้รับความเห็นชอบเสียก่อนได้เช่นเดียวกัน

ไม่เพียงเท่านั้น  โครงการหรือกิจการเหล่านี้ตามมาตรา 50 วรรคสี่  ยังถูกบังคับให้ คชก. ต้องพิจารณาให้ความเห็นชอบ EIA/EHIA อย่างเร่งรีบภายใน 120 วัน  หาก คชก. ไม่มีความเห็นภายในกำหนดเวลาไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม  ให้ กกวล. ทำหน้าที่แทนโดยพิจารณาเสนอความเห็นต่อ ครม. ได้โดยไม่ต้องรอความเห็นจาก คชก. อีกต่อไปได้เลย

ประเด็นต่อมา  มาตรา 48 ของร่างกฎหมายสิ่งแวดล้อมฉบับนี้ที่เหมือนกับมาตรา 46 วรรคสามของกฎหมายสิ่งแวดล้อมฉบับที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันตรงที่สามารถให้โครงการหรือกิจการประเภทหรือขนาดใด  หรือที่จะจัดตั้งขึ้นในพื้นที่ใดมี EIA ไว้แล้ว (ไม่รวม EHIA เข้ามาในกรณีนี้)  และเป็นมาตรฐานที่สามารถใช้กับโครงการหรือกิจการประเภทหรือขนาดเดียวกัน  หรือในพื้นที่ลักษณะเดียวกันได้  ได้รับยกเว้นไม่ต้องจัดทํา EIA ซ้ำอีก  หมายถึง  สามารถนำสำเนา EIA โครงการหนึ่งมาใช้กับอีกโครงการหนึ่งที่มีลักษณะใกล้เคียงกันแต่ต่างพื้นที่ได้เลย

แต่ที่เพิ่มเข้ามาก็คือมาตรา 49 ในกรณีโครงการหรือกิจการใดได้รับยกเว้นไม่ต้องจัดทำ EIA มีการดัดแปลง  ขยาย  ต่อเติม  เพิ่ม  ลด  หรือเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม  ให้จัดทำ EIA ขึ้นมาเสนอต่อ สผ. หรือ ‘หน่วยงานของรัฐแห่งอื่น’ ตามท่ี่ กกวล. มอบหมายให้ปฎิบัติหน้าที่แทนก็ได้  ยกตัวอย่างเช่น  โครงการเหมืองแร่ชนิดหนึ่งใช้สำเนา EIA จากโครงการเหมืองแร่ชนิดเดียวกันที่มีขนาดและพื้นที่คล้ายคลึงกันต้องการเปลี่ยนแปลงแผนผังการทำเหมืองและเพิ่มเติมชนิดแร่ที่จะผลิต  ก็จัดทำ EIA ขึ้นมาโดยเสนอต่ออธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ตามกฎหมายแร่แทนการเสนอต่อ สผ. และ คชก. ได้  เป็นต้น  ซึ่งจะทำให้ EIA ที่จัดทำขึ้นมาผ่านความเห็นชอบได้ง่ายและรวดเร็ว  เพราะไม่ต้องผ่านกระบวนการและขั้นตอนการพิจารณาให้ความเห็นชอบของ สผ. และ คชก. แต่อย่างใด

จะเห็นได้ว่าบทบัญญัติที่เพิ่มเข้ามาค่อนข้างอันตราย  เนื่องจากว่าอำนาจผูกขาดในการพิจารณาให้ความเห็นชอบ EIA/EHIA ของ สผ.  คชก.  และ กกวล.  ซึ่งปรากฎอยู่ในร่างกฎหมายสิ่งแวดล้อมฉบับนี้และคำสั่งหัวหน้า คสช. ว่าด้วยการพัฒนาพื้นที่ EEC อาจจะนำมาซึ่งโครงการหรือกิจการที่ทำสำเนา EIA เต็มไปหมดในพื้นที่ EEC  มิหนำซ้ำ  การดัดแปลง  ขยาย  ต่อเติม  เพิ่ม  ลด  หรือเปลี่ยนแปลงโครงการหรือกิจการไปจากเดิมก็อาจไม่ต้องผ่านกระบวนการและขั้นตอนการพิจารณาให้ความเห็นชอบของ สผ. และ คชก. ได้

ไม่เว้นแม้แต่โครงการหรือกิจการโรงไฟฟ้าขยะ  โรงไฟฟ้าชีวมวล  โรงงานกำจัดขยะและของเสียต่าง ๆ  ที่อยู่อาศัยตึกสูงที่ผุดขึ้นเต็มกรุงเทพฯและหัวเมืองต่าง ๆ ที่มีลักษณะคล้าย ๆ กันทั้งในด้านขนาดและพื้นที่  ก็คงจะมีการทำสำเนา EIA เต็มไปหมด  และก็เช่นเดียวกัน  การดัดแปลง  ขยาย  ต่อเติม  เพิ่ม  ลด  หรือเปลี่ยนแปลงโครงการหรือกิจการไปจากเดิมก็อาจไม่ต้องผ่านกระบวนการและขั้นตอนการพิจารณาให้ความเห็นชอบของ สผ. และ คชก. ได้

อีกประเด็นหนึ่ง  มาตรา 51 เปิดโอกาสให้โครงการหรือกิจการที่ต้องจัดทำ EIA/EHIA สามารถเสนอต่อ สผ. หรือ ‘หน่วยงานของรัฐแห่งอื่น’ ตามที่ กกวล. มอบหมายให้ปฎิบัติหน้าท่ี่แทนก็ได้  หมายความว่า EIA/EHIA สำหรับโครงการหรือกิจการประเภทใดที่ยากและใช้เวลานานในการพิจารณาให้ความเห็นชอบของ สผ. และ คชก. ก็ให้หน่วยงานที่มีอำนาจอนุญาตตามกฎหมายนั้นทำหน้าที่เป็น สผ. และ คชก. แทน  ยกตัวอย่างเช่น  โครงการผลิตกระแสไฟฟ้าประเภทหนึ่งก็ให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ที่เป็นผู้พิจารณาใบอนุญาตซื้อขายไฟฟ้าทำหน้าที่เป็นผู้พิจารณาผ่านความเห็นชอบ EIA/EHIA เพิ่มเติมอีกหน้าที่หนึ่ง  เป็นต้น

หน้าที่และความรับผิดชอบต่อสังคม  สิ่งแวดล้อม  วัฒนธรรมและเศรษฐกิจของกฎหมายสิ่งแวดล้อมก็คือมีหน้าที่เป็นตาข่ายคอยดักและกลั่นกรองการพัฒนาเศรษฐกิจให้มีความสมดุลย์ในการใช้และการรักษาทรัพยากรธรรมชาติ  ด้วยการมองมิติความยั่งยืนในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างค่อยเป็นค่อยไปในหลายชั่วอายุคน  และคำนึงถึงการพัฒนาที่เป็นประโยชน์สุขของประชาชน  มีคุณภาพชีวิตที่ดีไม่เจ็บไข้ได้ป่วยง่ายเกินไปจากมลพิษในภาคอุตสาหกรรมที่ตั้งอยู่รายรอบที่อยู่อาศัย  แต่สิ่งที่รัฐบาลเผด็จการทหาร คสช. กระทำคือตัดตาข่ายของกฎหมายสิ่งแวดล้อมทิ้ง  ซึ่งจะทำให้การกลั่นกรองเพื่อรับประกันให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นทั้งในทางสภาพแวดล้อม  เศรษฐกิจ  สังคมและสุขภาวะอนามัยอ่อนแอลงจากการเปลี่ยนกฎหมายสิ่งแวดล้อมให้กลายเป็นกฎหมายส่งเสริมการลงทุนเพิ่มขึ้นมาอีกฉบับหนึ่ง

                                                           
[[1]]  แนวคิดให้มีคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ระดับจังหวัด  ถูกผลักดันจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2558  ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี  ข้อ 4.2 ที่สั่งการให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณากำหนดแนวทางให้มีคณะกรรมการผู้ชำนาญการระดับจังหวัดเป็นผู้พิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) โดยเฉพาะในพื้นที่ที่รัฐบาลส่งเสริมให้มีการลงทุน หรือพื้นที่ที่ต้องเร่งพัฒนาหรือดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล เพื่อให้โครงการและกิจกรรมตามนโยบายของรัฐบาลสามารถเริ่มดำเนินการได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
[[2]] 5 จังหวัดแรก  ตามประกาศของคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (กนพ.) ที่  1/2558  เรื่อง กำหนดพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ  ลงวันที่ 19 มกราคม 2558
[[3]] อีก 5 จังหวัดหลัง  ตามประกาศของคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (กนพ.) ที่ 2/2558  เรื่อง กำหนดพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ระยะที่ 2  ลงวันที่ 24 เมษายน 2558

บทความที่เกี่ยวข้อง