เหตุแห่งคดี: นายสมบัติ รัตนโยธิน ที่ 1 กับพวกรวม 16 คน (สมัชชาแปดริ้วเมืองยั่งยืน) ชาวบ้านในพื้นที่ ต.สนามจันทร์ ต.สิบเอ็ดศอก อำเภอบ้านโพธิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา ได้ยื่นฟ้อง ผู้อำนวยการสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคที่ 6 ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และนายกองค์การบริหารส่วนตำบลสนามจันทร์ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ต่อศาลปกครองระยอง เพื่อขอให้เพิกถอนใบอนุญาตปลูกสร้างสิ่งล่วงล้ำลำน้ำและใบอนุญาตก่อสร้างอาคารของโครงท่าเทียบเรือขนถ่ายสินค้าของบริษัท อิสเทริ์น ที พี เค แค็ปปิตอล จำกัด ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำบางปะกง อ.บ้านโพธิ์ จ.ฉะเชิงเทรา ที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากไม่มีการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ทั้งที่เป็นโครงการขนาดใหญ่ที่อาจส่งผลกระทบทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สุขภาพ วิถีชีวิตของชุมชน และเข้าข่ายต้องจัดทำรายงาน EIA รวมถึงขาดกระบวนการมีส่วนร่วมรับฟังความคิดเห็นของชุมชนก่อนการอนุญาตให้ดำเนินโครงการ และไม่ได้คำนึงถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับระบบนิเวศของพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับชาติประกอบการใช้ดุลพินิจในการออกใบอนุญาต
ศาลปกครองสูงสุดมีวินิจฉัยในประเด็นโครงการที่ต้องจัดทำรายงาน EIA ตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกำหนดให้โครงการท่าเทียบเรือที่รับเรือขนาดตั้งแต่ 500 ตันกรอส มีความยาวหน้าท่า ตั้งแต่ 100 เมตร หรือมีพื้นที่ท่าเทียบเรือรวมตั้งแต่ 1,000 ตารางเมตรขึ้นไป จึงเข้าหลักเกณฑ์ที่ต้องจัดทำรายงาน EIA ประกอบการขออนุมัติอนุญาตโครงการ
การวินิจฉัย: ในคดีนี้ศาลปกครองสูงสุดได้วินิจฉัยและรับรองหลักการสิทธิในสิ่งแวดล้อมที่ดี
รวมถึงการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของโครงการที่ต้องจัดทำรายงาน EIA โดยพิจารณาจากรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 และพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
พ.ศ. 2535 และกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับคดีว่า
“กฎหมายดังกล่าวมีเจตนารมย์ที่จะคุ้มครองสิทธิของบุคคลในการอนุรักษ์ บำรุงรักษา และการได้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ รวมทั้งคุ้มครอง ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ดำรงชีพอยู่ได้อย่างปกติและต่อเนื่องในสิ่งแวดล้อมที่จะไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพอนามัย สวัสดิภาพ หรือคุณภาพชีวิตตามความเหมาะสม การดำเนินโครงการหรือกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ และสุขภาพจะกระทำมิได้
เว้นแต่จะได้ศึกษาและประเมินผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนในชุมชน
และจัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนได้เสียก่อน รวมทั้งได้ให้องค์กรอิสระซึ่งประกอบด้วยผู้แทนองค์การเอกชนด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพและผู้แทนสถาบันอุดมศึกษาที่จัดการการศึกษาด้านสิ่งแวดล้อมหรือทรัพยากรธรรมชาติหรือด้านสุขภาพให้ความเห็นประกอบก่อนมีการดำเนินการ
ดังนั้นในการขออนุญาตปลูกสร้างอาคารหรือสิ่งอื่นใดล่วงล้ำลำแม่น้ำ หากเป็นโครงการหรือกิจการประเภทและขนาดที่มีผลกระทบสิ่งแวดล้อมซึ่งต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ผู้ยื่นคำขอต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามกฎหมายดังกล่าวด้วย” [1]
สถานะคดี: ศาลปกครองสูงสุดพิพากษาให้เพิกถอนใบอนุญาตดังกล่าวของท่าเทียบเรือทั้ง 6 ท่า โดยให้มีผลย้อนหลังนับตั้งแต่วันที่ออกใบอนุญาต