เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2560 ที่ผ่านมา ตัวแทนกลุ่มชาวบ้านมาบตาพุด
ผู้ได้รับผลกระทบมลพิษจากหล
ายนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่เ
ทศบาลตำบลมาบตาพุดและพื้นที
่ใกล้เคียง เดินทางไปศาลปกครองระยองเพื
่อฟังการอ่านคำพิพากษาศาลปก
ครองสูงสุด ในคดีที่ชาวบ้านได้ร่วมกันย
ื่นฟ้องคณะกรรมก
ารสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) เมื่อเดือนตุลาคม 2550 กรณีการละเลยต่อหน้าที่ในการประกาศให้พื้นที่มาบตาพุดเป็นเขตควบคุมมลพิษ และศาลปกครองระยองมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2552 เห็นว่า พื้นที่มาบตาพุดมีปัญหามลพิษร้ายแรงจริงในระดับที่ กก.วล. ต้องประกาศให้เป็นเขตควบคุมมลพิษแต่กลับละเลยต่อหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่ล่าช้า โดยพิพากษาให้ กก.วล. ดำเนินการประกาศเขตควบคุมมลพิษให้แล้วเสร็จภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา แต่ กก.วล. ได้ใช้สิทธิยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาต่อศาลปกครองสูงสุด ผ่านไปกว่า 8 ปี ศาลปกครองสูงสุดมีคำวินิจฉั
ยเห็นพ้องด้วยกับศาลชั้นต้น
ว่า จากข้อเท็จจริงและพยานหลักฐ
านเรื่องข้อมูลการตรวจวัดระ
ดับการปนเปื้อนมลพิษ โดยเฉพาะสารโลหะหนักและสารอ
ินทรีย์ระเหยที่เป็นสารก่อม
ะเร็ง ในสิ่งแวดล้อมทั้งในอากาศ ดิน น้ำ สัตวน้ำ และข้อมูลผลกระทบทางสุขภาพข
องประชาชนในพื้นที่เขตเทศบา
ลเมืองมาบตาพุดและพื้นที่ข้
างเคียง รับฟังได้ว่ามีปัญหามลพิษใน
ระดับร้ายแรงถึงขนาดที่เป็น
อันตรายต่อสุขภาพและกระทบต่
อสิ่งแวดล้อม เข้าหลักเกณฑ์ที่ กก.วล. ต้องปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่
ตามมาตรา 59 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมแ
ละรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห
่งชาติ พ.ศ.2535 ประกาศให้เป็นเขตควบคุมมลพิ
ษเพื่อดำเนินมาตรการควบคุม ลด และขจัดมลพิษ โดยศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัย
วางบรรทัดฐานที่สำคัญว่า เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงเกี่ย
วกับปัญหามลพิษที่มีแนวโน้ม
ร้ายแรงที่เข้าหลักเกณฑ์ตาม
มาตรา 59 แล้ว กก.วล. ก็มีหน้าที่ต้องประกาศให้เป
็นเขตควบคุมมลพิษตามที่กฎหม
ายกำหนด โดยไม่อาจอ้างว่าจะประกาศเข
ตควบคุมมลพิษหรือไม่นั้นเป็
นดุลพินิจโดยแท้ของ กก.วล. ทั้งนี้ เป็นไปตามหลักกฎหมายสิ่งแวด
ล้อมเรื่อง “ การป้องกันไว้ก่อน ” (Precautionary Principle) ที่ระบุอยู่ในข้อ 15 ของ ปฏิญญาริโอว่าด้วยสิ่งแวดล้
อมและการพัฒนา (Rio Declaration on Environment and Development) ที่มีสาระสำคัญว่า “ในกรณีที่มีความน่ากลัวว่า
จะเกิดความเสียหายอย่างรุนแ
รงและไม่สามารถแก้ไขให้กลับ
คืนดีได้ รัฐจะต้องใช้แนวทางระวังไว้
ก่อนอย่างแพร่หลายตามความสา
มารถของตนเพื่อการคุ้มครองส
ิ่งแวดล้อม การขาดหลักฐานทางวิทยาศาสตร
์อย่างชัดเจนแน่นอนจะต้องไม
่ถูกใช้เป็นเหตุผลในการผัดผ
่อนการดำเนินมาตรการโดยยึดห
ลักการจัดการอย่างมีประสิทธ
ิภาพเพื่อป้องกันความเสื่อม
โทรมด้านสิ่งแวดล้อม”
อย่างไรก็ตาม ศาลปกครองสูงสุดเห็นว่า เนื่องจากในระหว่างการพิจาร
ณาคดี กก.วล.ได้มีประกาศคณะกรรมกา
รสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ 32 (พ.ศ. 2552) ลงวันที่ 30 เมษายน 2552 กำหนดให้ท้องที่เขตเทศบาลตำ
บลมาบตาพุดและพื้นที่ข้างเค
ียงรวมทั้งพื้นที่ทะเลภายใน
แนวเขต เป็นเขตควบคุมมลพิษ อันเป็นการปฏิบัติตามคำพิพา
กษาศาลชั้นต้นแล้ว ทำให้เหตุแห่งการฟ้องคดีหมด
สิ้นไปโดยที่ศาลไม่จำเป็นต้
องออกคำบังคับอีก จึงมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออ
กจากสารบบความ
อนึ่ง แม้ในที่สุดแล้วการฟ้องคดีน
ี้จะส่งผลให้คณะกรรมการสิ่ง
แวดล้อมแห่งชาติต้องประกาศใ
ห้พื้นที่มาบตาพุดเป็นเขตคว
บคุมมลพิษมาตั้งแต่ปี 2552 แต่ตัวแทนชาวบ้านที่เดินทาง
มาศาลได้สะท้อนถึงสถานการณ์
ปัญหามลพิษจากอุตสาหกรรมขนา
ดใหญ่จำนวนมากในมาบตาพุดที่
ยังคงเกิดขึ้นและส่งผลกระทบ
ต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของ
คนในพื้นที่มาอย่างต่อเนื่อ
ง และยิ่งมีความห่วงกังวลมากข
ึ้นถึงนโยบายของรัฐที่กำลัง
ผลักดันแผนพัฒนาเขตเศรษฐกิจ
พิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่น่าเชื่อว่าจะเข้ามาซ้ำเ
ติมปัญหามลพิษในพื้นที่ให้ห
นักขึ้นอีก ในขณะที่ปัญหาเดิมยังไม่ได้
รับการแก้ไข
ติดตามต่อได้ที่…
คำสั่งศาลปกครองสูงสุดฉบับเ
ต็ม:
https://goo.gl/8hrZSXคำพิพากษาศาลปกครองระยองฉบั
บเต็ม:
https://goo.gl/ryLGmwสรุปคำพิพากษาศาลปกครองระยอ
ง:
https://goo.gl/RHSCkUอ่านคำพิพากษาคดีสิ่งแวดล้อ
มอื่นๆที่น่าสนใจเพิ่มเติมไ
ด้ที่ :
http://enlawfoundation.org/newweb/?page_id=860