แถลงข่าว (Press Release) เปิดตัวรายงาน “น้ำเป็นพิษ ระบบยุติธรรมแปดเปื้อน” โดย Human Rights Watch
ที่มา: https://www.hrw.org/th/news/2014/12/16/265579
อ่านและดาวน์โหลดรายงานฉบับเต็มได้ที่ https://www.hrw.org/news/2014/12/15/thailand-clean-klity-creek
ประเทศไทย : การขุดลอกห้วยคลิตี้
เผชิญปัญหามรดกจากสารพิษก่อนเปิดเหมืองตะกั่วรอบใหม่
(กรุงเทพ, 16 ธันวาคม 2557) – รัฐบาลไทยยังไม่ได้จัดการขุดลอกพิษสารตะกั่วในลำน้ำทางตะวันตกของประเทศไทย ซึ่งเป็นอันตรายร้ายแรงต่อสุขภาพของประชาชนหลายร้อยครัวเรือน ฮิวแมนไรท์ว็อทช์รายงานในการแถลงข่าววันนี้ ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำสั่งมาเกือบสองปีแล้ว เพื่อให้มีการทำความสะอาดห้วยคลิตี้ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในประเทศไทย แต่รัฐบาลยังคงเพิกเฉย ปล่อยให้ชาวบ้านต้องสัมผัสกับสารตะกั่วต่อไป ทั้งในน้ำในดินในพืชผักและในปลา
รายงานจำนวน สามสิบ หน้า เรื่อง “น้ำเป็นพิษ ระบบยุติธรรมแปดเปื้อน” ที่บรรยายถึงความล้มเหลวของประเทศไทย โดยการปฏิบัติงานของกรมควบคุมมลพิษและหน่วยงานสาธารณสุข ที่ไม่ได้ป้องกันการสัมผัสกับสารตะกั่วของชาวบ้านในชุมชนชาวกะเหรี่ยง ดังจะเห็นได้จากวิดีทัศน์ประกอบการรายงานข่าวนี้ ที่แสดงถึงการทำลายสิ่งแวดล้อมและก่ออันตรายร้ายแรงต่อสุขภาพของชุมชน โดยโรงงานผลิตสารตะกั่วที่ขณะนี้ทิ้งร้างอยู่ รวมทั้งความพยายามของชาวบ้านที่จะพยายามเรียกร้องความยุติธรรม ผู้ที่อยู่อาศัยในหมู่บ้านห้วยคลิตี้ล่างจำนวนมาก ต้องทนทุกข์จากอาการป่วยเรื้อรังจากสารตะกั่วเป็นพิษ เช่น อาการเจ็บปวดในช่องท้อง ปวดศรีษะ อ่อนเพลีย และอารมณ์แปรปรวน เด็กบางคนถือกำเนิดมาพร้อมกับความบกพร่องทางปัญญาและการพัฒนาตามวัย
“ทางการไทยแสดงออกโดยชัดเจนว่า กำลังเพิกเฉยต่อคำสั่งของศาล ที่ให้ทำความสะอาดแหล่งสารพิษ” ริชาร์ด เพียร์สเฮาส์ กล่าว เขาเป็นนักวิจัยอาวุโสของฮิวแมนไรท์ว็อทช์ผู้เขียนรายงานนี้ “ที่นี่เป็นแหล่งอุตสาหกรรมที่ทำให้เกิดมลพิษมากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ ไทย ทำให้คนนับร้อยต้องได้รับความทรมานและจำเป็นที่รัฐบาลต้องดำเนินการโดย ทันที”
เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2556 ศาลปกครองสูงสุดของประเทศไทยมีคำสั่งให้รัฐบาลไทยจัดการขุดลอกทำความสะอาดลำห้วยที่มีสารตะกั่วเป็นพิษ จนกว่าผลการตรวจสอบน้ำ ดิน พืชผักและสัตว์น้ำในบริเวณลำห้วย จะแสดงให้เห็นว่ามีสารตะกั่วต่ำกว่าระดับที่เป็นอันตราย ถึงแม้ว่าการขุดลอกและทำความสะอาดลำห้วยควรจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2557 แต่กรมควบคุมมลพิษของประเทศไทยยังคงออกมากล่าวว่า กำลังศึกษาวิธีทำความสะอาดลำห้วยว่าควรจะทำด้วยวิธีใด
ชาวบ้านในบริเวณลำห้วยคลิตี้ล่างมีโอกาสสัมผัสกับสารตะกั่วในชีวิตประจำ วันด้วยการดื่มน้ำ หรือกินปลาและสัตว์น้ำชนิดอื่น รวมทั้งพืชผักที่ปลูกจากแปลงดินที่ปนเปื้อนสารตะกั่วหรืออาหารที่ทำด้วยน้ำ ที่มีสารพิษ จากการสัมผัสกับดินที่ปนเปื้อนสารตะกั่วรอบบริเวณบ้านหรือหายใจเอาอากาศที่ มี่ฝุ่นตะกั่วเข้าไปในปอด ทั้งนี้ จากการทดสอบกรมควบคุมมลพิษได้พบว่ามีสารตะกั่วอยู่ในดินสองฝั่งลำห้วย รวมทั้งในน้ำและตะกอนก้นลำห้วย สูงกว่าระดับที่ไม่เป็นอันตราย อีกทั้งยังพบสารตะกั่วปนเปื้อนอยู่ในปลา กุ้ง ปูและพืชผักในที่ต่างๆ ตามฝั่งลำห้วยด้วย
ทั้งที่มีสภาวะแห่งอันตรายเช่นนี้ เมื่อปี 2554 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมยังได้แต่งตั้งให้มีคณะกรรมการ ประเมินสิ่งแวดล้อมในบริเวณเหมืองตะกั่วที่จังหวัดกาญจนบุรี เพื่อพิจารณาว่าประเทศไทยจะสามารถเปิดเหมืองตะกั่วอีกครั้งได้ไหม เพื่อหาทางพัฒนาการทำเหมืองและอุตสาหกรรมแร่ตะกั่วต่อไป “ดูเหมือนว่ารัฐบาลไทยไม่ใส่ใจต่อบทเรียนเรื่องมลภาวะที่ห้วยคลิตี้ และการได้รับสารพิษของชาวบ้าน” เพียร์สเฮาส์ กล่าว “ประเทศไทยควรจะขุดลอกและทำความสะอาดห้วยคลิตี้ รวมทั้งให้การดูแลรักษาชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ ก่อนที่จะคิดถึงการขยายกิจการเหมืองตะกั่ว”
การรับมือกับสถานการณ์นี้ของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทั้งระดับจังหวัดและ ระดับอำเภอ ไม่สามารถควบคุมภาวะอันตรายได้โดยสิ้นเชิง ฮิวแมนไรท์ว็อทช์ กล่าว ชาวบ้านหลายคนที่มารับการตรวจเลือดไม่ได้รับการแจ้งผล อีกจำนวนไม่น้อยได้รับแจ้งว่าการตรวจเลือดปรากฎผลว่า “ปลอดภัย” ทั้งที่มีแนวปฏิบัติสากลที่ระบุว่า การสัมผัสกับสารตะกั่วไม่ว่าจะในระดับใดล้วนไม่ปลอดภัย ส่วนเด็กที่มีระดับสารตะกั่วสูงขึ้นก็ไม่ได้รับการดูแลรักษาเพื่อติดตามผล แต่อย่างใด
ตะกั่วเป็นสารพิษอันตรายสูงซึ่งส่งผลกระทบร้ายแรงต่อระบบการทำงานของร่าง กายคือระบบประสาท ระบบชีววิทยา และระบบการรับรู้และทำความเข้าใจ การได้รับสารตะกั่วเข้าสู่ร่างกายในระดับสูงสามารถทำลายการทำงานของอวัยวะ ต่างๆ คือ สมอง ตับไต ประสาท และกระเพาะอาหาร รวมทั้งทำให้โลหิตจาง หมดสติ การหดเกร็งของกล้ามเนื้ออย่างรุนแรง และแม้กระทั่งถึงขั้นเสียชีวิต สำหรับเด็กและสตรีที่ตั้งครรภ์นั้นจะได้รับความกระทบกระเทือนเป็นพิเศษ การสัมผัสกับสารตะกั่วในระดับสูงจะทำให้เกิดความบกพร่องทางปัญญาและพัฒนาการ ตามวัย รวมทั้งความไม่สมประกอบในการอ่านและการเรียนรู้ มีปัญหาทางพฤติกรรมการใช้สมาธิ หรือแม้กระทั่งสูญเสียการรับฟังและการชะงักงันของพัฒนาการด้านสายตา มีปัญหาในระบบหายใจ ชีพจร และความดันโลหิต
การพัฒนาไปสู่ความเป็นประเทศอุตสาหกรรมรวมทั้งการขุดเจาะแร่ธาตุ ทำให้ประเทศไทยต้องเผชิญปัญหาเพิ่มขึ้นในเรื่องผลกระทบต่อสุขภาพจากมลภาวะ ที่เกิดจากแหล่งต่างๆ มากหลายทั่วประเทศ รวมทั้งที่ นาหนองบง ที่จังหวัดเลย (ไซยาไนด์ ปรอท และสารหนู) แม่ตาว ที่จังหวัดตาก (แคดเมี่ยม) จังหวัดพิจิตร (แมงกานีส และสารหนู) อีกแหล่งหนึ่งคือย่านอุตสาหกรรมที่มาบตาพุด จังหวัดระยอง (สารเคมีจากอุตสาหกรรม)
ประเทศไทยได้ให้สัตยบรรณอนุสัญญาหลักด้านสิทธิมนุษยชน และสนธิสัญญาหลายฉบับด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นพันธกรณีที่รัฐบาลต้องมุ่งยึดถือเพื่อคุ้มครองสิ่งแวดล้อม น้ำดื่มที่ปลอดภัย และสุขภาพของประชาชนพลเมือง โดยต้องมุ่งเน้นเป็นพิเศษ สำหรับเด็กและกลุ่มเสี่ยงอื่นๆ รวมทั้งสตรี ผู้พิการ และชนกลุ่มน้อย ยิ่งกว่านั้น พระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติของไทยยังได้กำหนดให้ทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับ สิ่งแวดล้อมเพื่อสร้างสุขภาพ ในขณะที่กฎหมายระหว่างประเทศกำหนดให้ทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับมาตรฐานสูงสุด ด้านสุขภาพและน้ำเพื่อการบริโภค รวมทั้งสิทธิที่พึงได้รับการเยียวยาในกรณีที่มีการละเมิดสิทธิดังกล่าว
“รัฐบาลไทยต้องยุติการเพิกเฉยต่อคำสั่งศาล และจัดทำแผนปฏิบัติงานที่ชัดเจนและเจาะจง พร้อมด้วยกำหนดเวลาในการนำไปสู่การปฏิบัติด้วย” เพียร์สเฮาส์กล่าว “การขุดลอกและทำความสะอาดห้วยคลิตี้อย่างครอบคลุม จะช่วยให้ประเทศไทยเป็นต้นแบบในการทำความสะอาดที่อื่นอีกมากมาย ที่มลภาวะจากแหล่งอุตสาหกรรมหลักกำลังเป็นอันตรายร้ายแรงต่อสุขภาพมนุษย์”