ชัยชนะของชนเผ่า Blackfeet: มหากาพย์ 30 ปีการปกป้องแผ่นดินเกิดจากสัมปทานน้ำมัน

แปลสรุปจากต้นฉบับบทความ “THE BADGER-TWO MEDICINE AREA: Too Sacred To Drill” จากเว็บไซต์ Earthjustice 

โดย ณัฐชยา พิเชฐสัทธา มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม (EnLAW) 

[สรุปย่อ: ชัยชนะของชนเผ่าแบล็กฟีต (Blackfeet) หลังจากการต่อสู้เพื่อปกป้องบ้านเกิดกว่า 30 ปี ในที่สุดศาลอุทธรณ์สหรัฐ ในวอชิงตัน ดี.ซี. ได้มีคำสั่งยกเลิกสัญญาสัมปทานขุดเจาะน้ำมันและแก๊ส ของบริษัทโซลีเนกซ์ (Solenex) ใน บริเวณแบดเจอร์-ทู เมดิซีน, รัฐมอนทานา (Badger-Two Medicine Area, Montana) เมื่อวันที่16 มิถุนายน พ.ศ. 2563 ทางชนเผ่าได้ต่อสู้ว่า สัญญาสัมปทานดังกล่าวขัดต่อกฎหมายเนื่องจาก ออกโดยขาดการปรึกษาหารือหรือรับฟังความคิดเห็นของชนเผ่า และขาดการประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม โดยการต่อสู้ในคดีนี้เป็นหนึ่งในมหากาพย์การต่อสู้เพื่อสิทธิในที่ดินของชนเผ่าที่ถูกลิดรอนจากรัฐบาล เพื่อคุ้มครองพื้นที่ที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมประเพณีชนเผ่าอันยาวนาน และทางจิตวิญญาณ ทั้งเพื่อคนรุ่นปัจจุบันและเพื่อคนรุ่นหลัง]


หลังจากการต่อสู้กว่า 30 ปี ของชนเผ่าแบล็กฟีต (Blackfeet) เพื่อปกป้องบ้านเกิดของพวกเขา ในที่สุดศาลอุทธรณ์สหรัฐ ในวอชิงตัน ดี.ซี. ได้มีคำสั่งให้รัฐบาลยกเลิกสัญญาสัมปทานขุดเจาะน้ำมันและแก๊ส ของบริษัทโซลีเนกซ์ ซึ่งเป็นสัมปทานสุดท้ายในบริเวณนั้นที่เหลืออยู่ที่รัฐอนุญาตให้ขุดเจาะน้ำมันและแก๊ส ในบริเวณแบดเจอร์-ทู เมดิซีน, รัฐมอนทานา (Badger-Two Medicine Area, Montana) เมื่อวันที่16 มิถุนายน 2563
 
ย้อนกลับไปจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้
ช่วงปี 2523 รัฐบาลในสมัยนั้นได้ให้สัมปทานน้ำมันทั้งหมด 47 สัมปทาน บริเวณแบดเจอร์-ทู เมดิซีน ในราคา 1 ดอลลาร์ต่อ 1 เอเคอร์(ประมาณ 2.5 ไร่) สัมปทานดังกล่าวออกโดยขาดการปรึกษาหารือหรือรับฟังความคิดเห็นของชนเผ่า ขาดการพิจารณาเรื่องคุณค่าทางวัฒนธรรม ขาดการประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม จึงขัดต่อกฎหมาย 2 ฉบับ คือกฎหมายว่าด้วยนโยบายสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (National Environmental Policy Act) และกฎหมายว่าด้วยสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์ (Endangered Species Act) ทำให้เจ้าหน้าที่รัฐจำนวนมากถูกสั่งให้พักงาน
ปี 2540 กรมป่าไม้ (Forest Service) ได้มีคำสั่งระงับสัมปทานทั้งหมดที่จะเกิดขึ้นในบริเวณเทือกเขาร็อกกี้ (Rocky Mountain Front) รวมถึงบริเวณแบดเจอร์-ทู เมดิซีน เป็นการชั่วคราว ทำให้หลายบริษัทตัดสินใจสละสัมปทานในบริเวณนั้น เหลือเพียงสัมปทานไม่กี่เจ้าเท่านั้นที่ยังคงเหลืออยู่ หนึ่งในนั้นคือบริษัทโซลีเนกซ์ ของคดีนี้
ปี 2556 บริษัทโซลีเนกซ์ ได้ฟ้องรัฐบาลกลางของสหรัฐอเมริกา ว่าได้ทำให้สิทธิในการพัฒนาสัมปทานของบริษัทล่าช้า โดยไม่มีเหตุอันสมควร
ปี 2558 องค์กรพันธมิตรกลาเซียร์-ทู เมดิซีน (Glacier-Two Medicine Alliance) และองค์กรพันธมิตรต้นน้ำ ชนเผ่าแบล็กฟีต (Blackfeet Headwaters Alliance) โดยได้ร่วมกับองค์กรทางสิ่งแวดล้อมกว่าสิบองค์กร และทนายจากองค์กรเอิร์ธจัสติส (Earthjustice) ฟ้องศาลให้รัฐบาลยกเลิกสัมปทานทั้งหมดในบริเวณแบดเจอร์-ทู เมดิซีน โดยต่อสู้ว่าสัมปทานในโซนนี้ไม่มีความชอบธรรมทางกฎหมายตั้งแต่แรก และเทียบกับกรณีสัมปทานน้ำมันในบริเวณเทือกเขาร็อกกี้ (Rocky Mountain Front) ที่ออกในเวลาไล่เลี่ยกัน ซึ่งศาลได้ตัดสินแล้วว่าสัมปทานเหล่านั้นขัดต่อกฎหมาย และได้ยกเลิกสัมปทานดังกล่าว ทางองค์กรเอิร์ธจัสติส จึงมีคำขอให้รัฐบาลยกเลิกสัมปทานที่บริเวณแบดเจอร์-ทู เมดิซีน ด้วยสาเหตุเดียวกัน
ในการต่อสู้ครั้งนี้ มีคนเข้าร่วมและให้การสนับสนุนชนเผ่าเป็นจำนวนมาก ทั้งองค์กรเอิร์ธจัสติส, สภากลุ่มชนพื้นเมืองอเมริกัน (the National Congress of American Indians), วงเพิร์ลแจม (Pearl Jam), จอน เทสเตอร์ (Jon Tester – สมาชิกวุฒิสภาจากรัฐมอนทานา) และประชาชนร่วมลงชื่อหลายพันคนเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกสัมปทานดังกล่าว

บริเวณแบดเจอร์-ทู เมดิซีน ถือเป็นพื้นที่ที่มีคุณค่าและเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิของชาวแบล็กฟีต โดยทางชนเผ่ายืนยันว่าหากปล่อยให้มีการขุดเจาะน้ำมันในที่ดังกล่าว จะเป็นการสูญเสียทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมประเพณีชนเผ่าอันยาวนาน และทางจิตวิญญาณ การต่อสู้ในคดีนี้เป็นเพียงหนึ่งในมหากาพย์การต่อสู้เพื่อสิทธิในที่ดินของชนเผ่าที่ถูกลิดรอนจากรัฐบาล ชนเผ่าแบล็กฟีต ได้ถูกลิดรอนพื้นที่บ้านเกิดของพวกเขาไปแล้วจำนวนมหาศาล บริเวณแบดเจอร์-ทู เมดิซีนจึงถือว่าเป็นหนึ่งในไม่กี่พื้นที่ที่มีคุณค่าต่อชนเผ่าพวกเขาที่ยังคงเหลืออยู่ พวกเขารู้สึกว่าพวกเขาต้องปกป้องดินแดนนี้ไว้ไม่ใช่แค่เพื่อพวกเขา แต่เพื่อคนรุ่นหลังด้วย ดินแดนนี้จึงไม่ควรถูกสังเวยเพื่อแลกกับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าในราคาเท่าใดก็ตาม

หลังจากการต่อสู้อย่างยาวนาน คนรุ่นใหม่ของชนเผ่ากำลังผลักดันข้อเสนอ ให้แทนที่แท่นขุดเจาะน้ำมันด้วยแผงโซลาร์และกังหันลม เพื่อให้เป็นการพัฒนาพลังงานที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง และหลายมาตรการได้เกิดขึ้นเพื่อปกป้องพื้นที่ดังกล่าว เช่น การห้ามไม่ให้มีสัมปทานในอนาคตในบริเวณนี้อีกเป็นการถาวร, การกำหนดเป็นเขตวัฒนธรรมดั้งเดิม, การห้ามใช้เครื่องยนต์ในบริเวณดังกล่าว และ วุฒิสภาและรัฐบาลทรัมป์ได้ร่วมกันเสนอให้พื้นที่นี้เป็นเขตคุ้มครอง (National Monument) เพื่อให้ได้รับการคุ้มครองจากรัฐบาลกลาง
“การตัดสินนี้ได้ปฏิเสธความพยายามของบริษัทโซลีเนกซ์ ในการที่จะรื้อฟื้นสัญญาขุดเจาะน้ำมันที่ขัดต่อกฎหมาย และไม่ควรได้ตั้งแต่แรก ดินแดนแบดเจอร์-ทู เมดิซีน มีคุณค่าและความสำคัญทางวัฒนธรรมที่ไม่สามารถถูกแทนที่ได้ ไม่ใช่แค่คุณค่าทางน้ำมัน” ทิม เพรโซ (Tim Preso) ทนายประจำคดีนี้ได้กล่าวไว้
                             

 
ลิงค์ต้นฉบับบทความและที่มาภาพประกอบ: “THE BADGER-TWO MEDICINE AREA: Too Sacred To Drill” โดย Earthjustice

บทความที่เกี่ยวข้อง